ประวัติศาสตร์ของพระเจ้าแห่งวงการลูกหนัง…ซลาตัน อิบราฮิโมวิช | TunGame

หลังจากที่เล่นฟุตบอลเป็นฤดูกาลที่ 21 กองหน้าระดับพระเจ้าอย่างซลาตันอิบราฮิโมวิชสามารถจารึกประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองได้อีกครั้งด้วยการทำประตูที่ 500 และ 501 ของอาชีพการค้าแข้งในเกมส์ที่พบกับโครโตเน่ในศึกกัลโช่เซเรียอา อิตาลีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้นทันเกมจึงอยากจะสรุปเรื่องราวตลอด 21 ฤดูกาลที่ดาวยิงวัย 39 ปีโลดแล่นในวงการฟุตบอลกัน

เริ่มต้นที่มัลโม่และปฏิเสธคำเชิญของเวนเกอร์

ซลาตันในวัย15 ปีได้เข้าไปเล่นในทีมเยาวชนของมัลโม่ทีมบ้านเกิดของตนเองในปี 1996 หลังจากนั้น 3 ปีเขาได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1999 โดยในปีแรกหนุ่มน้อยซลาตันลงเล่นทั้งหมด6 นัดและทำได้ 1 ประตูซึ่งในปีนั้นมัลโม่ตกชั้นจากการเล่นลีกสูงสุดของสวีเดนในฤดูกาลถัดมามัลโม่สามารถเลื่อนชั้นกลับมาบนลีกสูงสุดได้อีกครั้งโดยซลาตันเป็นส่วนสำคัญของสโมสรหลังจากตะบันไป 12 ประตูจากการเล่นทั้งหมด 26 นัดในลีก ด้วยความสามารถของเขาก็ไปเตะตาอาร์แซนเวนเกอร์ที่ต้องการดึงกองหน้าชาวสวีดิชไปร่วมทีมโดยผู้จัดการทีมระดับตำนานของอาร์เซน่อลได้เชิญเขาไปทดสอบฝีเท้าและนั่นก็เป็นที่มาของหนึ่งประโยคสุดคลาสสิคของซลาตันที่พูดกับเวนเกอร์ว่า“ผมไม่ทำการออดิชัน”

สร้างชื่อและเกือบถูกฆาตรกรรมที่อาแจ็กซ์ฯ

หลังจากปฏิเสธอาร์เซน่อลดาวเตะชาวสวีเดนก็ได้ย้ายไปร่วมทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมสโมสรยักษ์ใหญ่ในลีกฮอลแลนด์ด้วยค่าตัวสูงสุดของสโมสรในขณะนั้นที่ 8.7 ล้านยูโรในปี 2001 ในช่วงแรกซลาตันไม่ค่อยได้รับโอกาสมากนักในยุคของกุนซืออย่างโคอาเดรียเซ่นจนถึงขั้นมีข่าวว่าจะถูกปล่อยยืมในช่วงตลาดหน้าหนาวของฤดูกาลนั้นโดยมีข่าวกับต้นสังกัดเก่ามัลโม่รวมถึงทีมอย่างเซาธ์แฮมป์ตันด้วยอย่างไรก็ตามสถานะของเขาก็เปลี่ยนไปหลังจากโรนัลด์ คูมันเข้ามากุมบังเหียนแทนที่อาเดรียเซ่นที่โดนไล่ออกโดยซลาตันกลายมาเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังแทนที่มิโด้กองหน้าชาวอียิปต์และเป็นหนึ่งในขุนพลตัวหลักที่ทำให้อาแจ็กซ์ฯกลับมาคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 พ่วงด้วยแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีก1 รายการ หลังจากก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าเบอร์1 ของสโมสรความสัมพันธ์ของเขากับมิโด้ก็ดูระหองระแหงมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากดาวเตะขาวอียิปต์เสียตำแหน่งตัวจริงไปจนกระทั่งในปี 2003 พวกเขามีปากเสียงกันในเกมส์ที่แพ้เฟเยนูร์ดฯและดาวเตะทีมชาติอียิปต์ก็ได้ปากรรไกรใส่ซลาตันในห้องแต่งตัวหลังจบเกมส์การแข่งขันซึ่งมันก็เฉี่ยวหัวดาวเตะสวีดิชไปนิดเดียวอย่างไรก็ตามผลงานของซลาตันยังคงดีอย่างต่อเนื่องโดยในฤดูกาล 2002/2003 เขาซัดไป 5 ประตูพาทีมเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกซึ่งเป็นปีแรกที่เขาได้ลงเล่นในรายการดังกล่าวและด้วยผลงานที่ว่าก็ส่งผลให้ดาวเตะเพียงแค่วัย21 ปีมีชื่อถูกเสนอเข้าชิงบัลลงดอร์ในฤดูกาลนั้นส่วนในฤดูกาลสุดท้ายกับอาแจ็กซ์ฯ (2003/2004) เขานำพาทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งที่ 2 จาก 3 ฤดูกาลหลังสุด

ภารกิจที่อิตาลี

ในที่สุดซลาตันได้ย้ายมาเล่นในลีกใหญ่ของยุโรปและเป็นลีกที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเล่นตั้งแต่เด็กนั่นก็คือกัลโช่เซเรียอาโดยยูเวนตุสภายใต้การคุมทีมของฟาปิโอคาเปลโล่เป็นสโมสรแรกที่ดึงเขามาเล่นในอิตาลีด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโรซึ่งอันที่จริงกุนซือผู้นี้สนใจดาวเตะชาวสวีเดนตั้งแต่สมัยอยู่มัลโม่แล้วซลาตันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลแรกกับทีมเจ้าม้าลายด้วยการยิงไป 16 ประตูพาทีมคว้าสกูเด็ตโต้แถมด้วยตำแหน่งนักเตะต่างชาติยอดเยี่ยมของลีกในฤดูกาลนั้น (2004/2005) ต่อมาในฤดูกาล 2005/2006 กองหน้าทีมชาติสวีเดนผู้นี้โดนปรับตำแหน่งให้มาเล่นทางด้านข้างมากขึ้นซึ่งนั่นก็ส่งผลให้เแฟนบอลและสื่อวิจารณ์ฟอร์มการทำประตูของเขาถึงแม้ว่าจะถูกทดแทนด้วยจำนวนแอสซิสต์ที่มากขึ้นก็ตามต่อมาซลาตันก็ต้องย้ายทีมอักครั้งหลังจากที่ยูเวนตุสถูกปรับตกชั้นไปเล่นในกัลโช่เซเรียบีจากเหตุการณ์กัลโช่ โปลีซึ่งเขาก็ได้ย้ายไปร่วมทีมอินเตอร์มิลานด้วยค่าตัว 24.8 ล้านยูโรโดยถึงแม้ว่าเอซีมิลานได้ยื่นข้อเสนอเข้ามาเหมือนกันแต่เจ้าตัวนั้นมีความต้องการที่จะย้ายไปร่วมทีมเนรัซซูรี่เพราะเขาต้องการไปทำภารกิจที่ไอดอลของเขาซึ่งก็คือโรนัลโด้นาซาริโอ้ (R9) ไม่สามารถทำได้นั่นก็คือการพาทีมงูใหญ่คว้าสคูเด็ตโต้ท้ายที่สุดซลาตันสามารถก้าวผ่านนักเตะที่เขาบูชาผ่านโปสเตอร์ที่แปะบนผนังห้องนอนที่มัลโม่ไปได้หลังจากพาอินเตอร์ฯคว้าสคูเด็ตโต้ได้ 3 ฤดูกาลติดต่อกันพร้อมด้วยตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของลีกในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับสโมสร

ความผิดพลาดที่บาร์เซโลน่าและกลับมาเฉิดฉายในอิตาลี

ซลาตันก้าวไปสู่อีกระดับของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพโดยเขาย้ายไปอยู่กับเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่าด้วยค่าตัว46 ล้านยูโรโดยมีดีลสลับขั้วกับซามูแอลเอโต้รวมอยู่ในฤดูกาล 2008/2009 ซึ่งในตอนแรกดาวเตะทีมชาติสวีเดนสามารทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมหลังซัดไป 11 ประตูจากการเล่น 14 นัดในลีกอย่างไรก็ตามฟอร์มของเขาช็อตไปดื้อๆโดยยิงไปแค่ 2 ประตูใน 3 เดือนให้หลังซึ่งนั่นก็เป็นเวลาที่ลีโอเนล เมสซี่ดาวเตะผู้มาจากนอกโลกสามารถก้าวขึ้นมาเล่นในตำแหน่งเบอร์9 ของเขาและยิงประตูได้อย่างต่อเนื่องพอดีนอกจากนี้ถ้าเทียบกับเอโต้เขาก็ดูมีความหลากหลายน้อยกว่าดาวเตะชาวแคมเมอรูนที่สามารถโยกไปเล่นด้านข้างได้ดังนั้นบทบาทของซลาตันก็ลดลงไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะยิงไปถึง 22 ประตูจากการเล่น 46 นัดและเป็นแชมป์ลาลีกาท้ายที่สุดจากสไตล์การเล่นที่ไม่เข้าระบบก็ส่งผลให้บาร์เซโลน่าปล่อยตัวเขาให้เอซีมิลานยืมตัวพร้อมด้วยออปชั่นซื้อขาดซึ่งตลอดเวลา 2 ฤดูกาล(แรก)ในถิ่น ซานซีโร่กองหน้าผู้นี้กลับมาทำผลงานได้อย่างร้อนแรงอีกครั้งในลีกที่เขาคุ้นเคยโดยในปีแรกซลาตันสามารถพารอสโซเนรี่คว้าสคูเด็ตโต้ได้ในฤดูกาล 2010/2011 หลังได้แชมป์ครั้งสุดท้ายในปี 2004 พร้อมกับการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรหลังจากนั้นในฤดูกาล 2011/2012 ฟอร์มของเขาก็ยังแรงต่อเนื่องด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของเซเรียอาด้วยการตะบันไปทั้งสิ้น 28 ประตู

สร้างตำนานที่ปารีส

หลังจากปารีส แซงต์-แชร์กแมงถูกเทคโอเวอร์โดยกลุ่มทุนจากกาตาร์ซลาตันเป็นนักเตะคนแรกๆที่โดนดึงเข้ามาภายใต้โปรเจคใหญ่ของสโมสรซึ่งดาวเตะชาวสวีดิชก็ไม่ทำให้เจ้าของทีมผิดหวังอีกทั้งเขายังสร้างผลงานระดับตำนานในตลอดช่วงเวลา4 ฤดูกาลที่อยู่ในถิ่นพาร์คเดอ แพรงซ์ เริ่มต้นด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกเอิงในฤดูกาล 2012/2013 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งท้ายที่สุดเขาก็พาทีมกวาดแชมป์ในประเทศรวมกันทั้งหมด 12 ถ้วยตลอด 4 ปีที่ค้าแข้งกับสโมสรในส่วนของความสำเร็จส่วนตัวซลาตันได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดและนักตะยอดเยี่ยมของลีก 3 ฤดูกาล จาก 4 ฤดูกาลที่เขาลงเล่นนอกจากนี้ในฤดูกาลสุดท้ายที่ลงเล่นให้กับปารีส แซงต์-แชร์กแมงเขาสามารถยิงประตูแซงหน้าเปาเลต้าอดีตกองหน้าระดับตำนานขึ้นไปเป็นนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสรแถมในฤดูกาลนั้นเขายังยิงในลีกไปทั้งสิ้น 38 ประตูซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงมากที่สุดใน1 ฤดูกาลของลีกเอิงทำลายสถิติของคาร์ลอสเบียงคี่ตำนานนักเตะชาวอาร์เจนไตน์ไปได้ ท้ายที่สุดก่อนที่เขาจะอำลากรุงปารีสเขาก็ปิดท้ายด้วยประโยคสุดเด็ดว่า“ผมมาดั่งราชาและออกไปอย่างตำนาน”

แวะเวียนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับลอสแอนเจลิส

ซลาตันได้ย้ายมาเล่นในอีกหนึ่งลีกสุดหินอย่างพรีเมียร์ลีกโดยเป็นการกลับมาร่วมงานกับโจเซ่มูรินโญ่ในสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งเขาก็โดนปรามาสตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลว่าจะไหวมั้ยกับการเล่นฟุตบอลที่อังกฤษเพราะอายุก็เยอะแล้วอย่างไรก็ตามเขาได้ใช้ผลงานเป็นการตอกกลับเสียงวิจารณ์โดยซัดไปทั้งสิ้น 29 ประตูจากการลงเล่น 53 นัด ตลอดระยะเวลา1 ฤดูกาลครึ่งที่โอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่ง 2 ประตูในนั้นก็เป็น 2 ประตูที่ช่วยให้แมนยูไนเต็ดเอาชนะเซาธ์แฮมป์ตันคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 2016/2017 นอกจากนี้ด้วยวัย 35 ปีซลาตันยังถือเป็นนักเตะอายุเยอะที่สุดที่สามารถยิงประตูในลีกได้มากที่สุดใน 1 ฤดูกาลดังนั้นถ้าเขาไม่ได้ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงกับยูไนเต็ดเราก็อาจจะจะได้เห็นเขาโลดแล่นในสีเสื้อทีมปีศาจแดงนานกว่านี้ก็เป็นได้ ต่อมาหลังจากที่ยกเลิกสัญญากับแมนยูไนเต็ดเขาก็ได้ไปย้ายไปเล่นที่อเมริกากับทีมลอสแอนเจลิสกาแล็กซี่ซึ่งในนัดแรกกับสโมสรเขาลงมาแผลงฤทธิ์ทันทีด้วยการลงมาเป็นตัวสำรองและยิงไป 2 ประตูในศึกดาร์บี้แมทช์ระหว่างลอสแอนเจลิสกาแล็กซี่กับลอสแอนเจลิส เอฟซี โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เล่นในเมืองลุงแซมดาวเตะตัวเก๋าผู้นี้ทำสถิติสุดโหดด้วยการยิงไปทั้งสิ้น 55 ประตูจากการลงเล่น 58 นัด

สถานีสุดท้าย (หรือไม่) ที่มิลาน

ในปัจจุบันซลาตันได้ย้ายกลับมายังเอซีมิลานเป็นคำรบที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญในการไล่ล่าคว้าสคูเด็ดโต้ของสโมสรซึ่งในขณะนี้เหล่าขุนพลรอสโซเนรี่นำเป็นจ่าฝูงของศึกกัลโช่เซเรียอาโดยนำคู่แข่งร่วมเมืองอย่างอินเตอร์ มิลานอยู่ 2 คะแนน ในส่วนของดาวเตะวัย 39 ปีนั้นก็ยิงให้ทีมไปแล้ว 14 ประตูในลีกเป็นรองเพียงแค่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ของยูเวนตุสคนเดียวเท่านั้นท้ายที่สุดเราก็ต้องมาดูกันต่อว่าซลาตันจะสามารถทำให้มิลานกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกซึ่งมันก็บังเอิญครอบรอบ 10 ปีที่เขาช่วยเสกให้ทีมได้แชมป์ครั้งสุดท้ายในฤดูกาล 2010/2011 พอดี ดังนั้นถ้าทำได้เราอาจได้เห็นฉากจบอันสวยงามของนักเตะระดับตำนานแห่งวงการลูกหนังหลังก็เป็นได้หลังจากที่สัญญาของซลาตันในวัยย่างเข้าเลข 4 จะหมดลงในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึง

support

support

แชร์เนื้อหา