ประเด็นที่น่าสนใจ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม | TunGame

การกลับมาท้าชิงเวทียุโรปของเชลซี ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

อาจจะดูไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่ทีมระดับเชลซีจะผ่านเข้าไปเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ถ้าหากจะเปรียบเทียบขุมกำลังนักเตะและฟอร์มการเล่นของพวกเขาในปีนี้กับปีที่แล้วนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในฤดูกาล 2019/2020 พวกเขาเข้ามาในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยสภาพทีมที่ไม่มีดาวดังประดับทีมเลย ถึงแม้จะผ่านรอบแบ่งกลุ่มเข้าไปเล่นรอบน๊อคเอาท์ได้ แต่ก็ดันจับฉลากไปเจอคู่แข่งสุดหินอย่างบาเยิร์น มิวนิคในรอบ 16 ทีม เรียกได้ว่าแค่ผลประกบคู่ออกมาก็แทบไม่ต้องลุ้นแล้วว่าทีมไหนจะเป็นฝ่ายเข้ารอบไปได้ และสุดท้ายก็เป็นบาเยิร์นที่ถล่มเชลซีไปอย่างราบคาบทั้ง 2 นัด สกอร์รวม 7-1

มาในปีนี้ หลังจากที่พวกเขาพ้นโทษแบนและกลับมาซื้อนักเตะได้อีกครั้ง เชลซีนั้นเสริมทีมได้อย่างน่าสนใจและที่สำคัญกว่านั้นคือเหล่าสตาร์ที่ทีมดึงเข้ามาสามารถสร้างความแตกต่างให้ทีมได้ทันทีไม่ว่าจะเป็น ทิโม แวเนอร์, ฮาคิม ซิเย็ค, เบ็น ชิลเวลล์, ติอาโก ซิลวา, และ เอดูอาร์ เมนดี้ ส่งผลให้ผลงานของทีมสิงห์บลูส์นั้นดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

โดยในรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านไปนั้นเชลซีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จบรอบแรกในฐานะแชมป์กลุ่มอี ลงทำการแข่งขัน 6 นัด มีผลงานชนะ 4 เสมอ 2 ยิงได้ 14 เสีย 2 ประตู มีผลต่างประตูได้เสียถึง +12 ลูก โดยสองเกมที่พวกเขาเสมอได้แก่เกมแรกที่เปิดบ้านพบเซบีย่า ซึ่ง ณ เวลานั้นอาจจะเรียกได้ว่าฟอร์มของทีมยังไม่เข้าฝักเท่าไหร่ หลังจากนั้นพวกเขาสามารถเก็บชัยได้ 4 นัดรวด ก่อนที่จะเสมออีกครั้งในเกมสุดท้ายที่พวกเขาทำการหมุนเวียนนักเตะเพราะพวกเขานั้นเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มแล้ว

ถือว่าเป็นการกลับมาท้าชิงถ้วยยุโรปอย่างเต็มตัวอีกครั้งสำหรับทีมเชลซี โดยในรอบ 16 ทีม พวกเขามีสิทธิ์ที่จะจับคู่เจอกับอีก 7 ทีมได้แก่ แอตเลติโก มาดริด, โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค, เอฟซี ปอร์โต, อตาลันตา, ลาซิโอ, บาร์เซโลนา, และ แอร์เบ ไลป์ซิก อาจจะมีทีมที่เป็นทีมใหญ่อยู่บ้างที่พวกเขามีโอกาสจะได้เจอในรอบต่อไป แต่ด้วยสภาพของทีมในปีนี้ เชื่อว่าเชลซีนั้นไม่ใช่ทีมที่ใครหน้าไหนจะมาเอาชนะได้ง่ายๆเหมือนปีที่แล้ว และเชื่อว่าพวกเขาเองก็พร้อมที่จะท้าชนทุกทีมในรอบน๊อคเอาท์เช่นกัน

เหตุการณ์การเหยียดสีผิวในกลุ่มเอช ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

กลายเป็นประเด็นใหญ่ประจำการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มฤดูกาลนี้ไปซะแล้วสำหรับประเด็นการวอล์กเอาท์หลังจากที่มีการเหยียดสีผิวในเกมกลุ่มเอช ในนัดสุดท้ายระหว่าง เปแอสเช กับอิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ โดยเหตุการณ์ในช่วงนาทีที่ 14 ของการแข่งขันเมื่อ ปิแอร์ เวโบ้ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมอิสตัลบูลนั้นกล่าวว่าเขาได้ยินผู้ตัดสินที่ 4 ชาวโรมันเนียที่ชื่อ คอนสแตนติน คอสเตลคู เรียกเขาด้วยคำที่เป็นการเหยียดสีผิวว่า “ดำ” หรือ “คนดำ” ระหว่างที่ผู้ตัดสินที่ 4 กำลังสื่อสารกับผู้ตัดสินที่ 1 ให้ไปแจกใบแดงให้กับเวโบ้

โดยทันเกม ขอแตกประเด็นนี้ออกเป็น 2 ประเด็นย่อยใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้แก่

ประเด็นที่ 1 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ที่ผ่านมาหากเราได้ยินเรื่องการเหยียดสีผิวในการแข่งขันฟุตบอล เหตุการณ์มักจะเกิดจากผู้เล่นหรือทีมงานฝ่ายตรงข้ามหรือแฟนบอล แต่ในครั้งนี้ผู้ต้องหาในการเหยียดสีผิวครั้งนี้กลับเป็นผู้ตัดสินที่ 4 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและไม่ควรเกิดขึ้นในการแข่งระดับสูงเช่นนี้ โดยเหล่าผู้ตัดสินเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของยูฟ่า ซึ่งยูฟ่าเองก็รณรงค์เรื่องการความเท่าเทียมและต่อต้านการเหยียดเพื่อนมนุษย์ทั้งในเรื่องของสีผิว เพศ ศาสนาความเชื่อ และความทุพพลภาพท่างร่างกาย มาโดยตลอดในระยะหลัง

ยูฟ่าได้ตั้งขึ้นโครงการเพื่อรณรงค์เรื่องเหล่านี้ภายใต้ชื่อโครงการ “Respect” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “เคารพ” ที่หากแฟนบอลได้สังเกตจะเห็นโลโก้ “Respect” ในทุกๆการแข่งขันของยูฟ่า ไม่ว่าจะมีป้ายโลโก้ติดที่แขนเสื้อชุดแข่งของทีม หรือ ป้ายแบนเนอร์ต่างๆในสนามที่มีการแข่งขันของยูฟ่า ทำให้การที่ผู้ตัดสิน หรือบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของยูฟ่ากลับทำเรื่องเหล่านี้เสียเองนั้นดูเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง จากนี้คงต้องตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วยูฟ่าจะสืบสวนและมีคำตัดสินในเรื่องนี้อย่างไร และในภายภาคหน้ายูฟ่าจะมีมาตรการหรือกฎอะไรที่มากขึ้นไหมเพื่อป้องกันและรองรับต่อเหตุการณ์เหล่านี้

ประเด็นที่ 2 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

เรื่องการเหยียดสีผิวนั้นไม่ใช่แค่ประเด็นในวงการฟุตบอลแต่เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับทั้งโลก ซึ่งในเหตุการณ์นี้ก็เรียกได้ว่าผู้คนต่างถกเถียงกันไปใน 2 ความเห็นหลักๆคือกลุ่มหนึ่งคิดว่าการเรียกเวโบ้ว่า “ดำ” หรือ “คนดำ” นั้นเป็นการเหยียดความเป็นมนุษย์และเป็นการมองคนไม่เท่าเทียมของผู้ตัดสินที่ 4 ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งกลับไม่คิดว่าการกระทำของผู้ตัดสินที่ 4 เป็นการเหยียดสีผิวเพียงแต่เป็นการสื่อสารเพื่อชี้ชัดบุคคลว่าเขาต้องการให้ผู้ตัดสินใบแจกใบแดงกับใคร ซึ่งการที่ผู้ตัดสินที่ 4 ใช้คำว่า “ดำ” ในการสื่อสารอาจจะเป็นเพียงการขยายความให้ชัดเจนว่าเขาต้องการจะหมายถึงใคร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวทีฟุตบอลนั้นสะท้อนสิ่งที่ดำเนินไปในสังคมปัจจุบัน ประเด็นอ่อนไหวเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันไปอีกไม่น้อยว่าอะไรคือขอบเขตและบริบทของการใช้คำในการสื่อสาร

support

support

แชร์เนื้อหา