เรื่องราวของ สตีฟ คูเปอร์ ชายผู้ปลุกเจ้าป่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ให้กลับมาผงาดบนพรีเมียร์ลีกสูงสุด | TunGame
สตีฟ คูเปอร์ กุนซือหนุ่มที่น่าจับตามอง
นับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แฟนบอลรุ่นเก๋าคงต่างตื่นเต้นกันสุดๆเมื่อพวกเขาจะได้เห็น 1 ในทีมยักษ์หลับแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ กลับมาโลดแล่นบนลีกสูงสุดอีกครั้งหลังทีมเจ้าป่าเอาชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ไปได้ 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศรอบเพลย์ออฟของศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ดังนั้นในวันนี้ ทันเกม จะพาแฟนเพจไปทำความรู้จักกับ สตีฟ คูเปอร์ กุนซือผู้เข้ามาพลิกสถานการณ์ของสโมสรและพาทีมขี้นมาบนลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปีกัน
ฉายแววโค้ชตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี
ถึงแม้พรสวรรค์ในฐานะนักเตะของกุนซือที่มี คีธ คูเปอร์ อดีตผู้ตัดสินระดับพรีเมียร์ลีกเป็นคุณพ่อจะไม่โดดเด่นอะไร แต่ความสามารถในการเป็นโค้ชของ สตีฟ คูเปอร์ นั้นเรียกได้ว่าเข้าตาโดยในขณะที่เขากำลังเล่นให้กับ เร็กซ์แฮม กุนซือของทีมในขณะนั้นอย่าง ไบรอัน ฟลินท์ ผลักดันนักเตะที่เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็คผู้นี้เข้าสู่วงการโค้ชซึ่งในที่สุด คูเปอร์ ก็ได้เป็นผู้จัดการทีม เร็กซ์แฮม ชุดยู-18 และได้ใบอนุญาตโปรไลเซนส์ของยูฟ่าในระดับสูงสุดด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี
สั่งสมประสบการณ์กับ ลิเวอร์พูล
ด้วยโปรไฟล์ที่น่าสนใจส่งผลให้สโมสรใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล ดึงตัว สตีฟ คูเปอร์ เข้ามาทำงานโดยเริ่มต้นจากการเป็นโค้ชทีมชุดยู-12 จนกระทั่งไต่เต้าขึ้นมาคุมทีมชุดยู- 16 จนถึง ยู-18 ตามลำดับ ขณะเดียวกันช่วงเวลาที่ทำงานในเมอร์ซี่ย์ไซด์เขาได้มีโอกาสทำงานอย่างใกล้ชิดกับ เป๊ป เซกูร่า ผู้จัดการฝ่ายเทคนิกด้านพัฒนาเยาวชนของสโมสร ผู้เคยพัฒนานักเตะอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า, เคราร์ด ปิเก้ รวมถึง เชส ฟาเบรกาส ในทีม บาร์เซโลน่าชุดบี และนั่นทำให้กุนซือวัย 42 ปี ได้รับอิทธิพลสไตล์การทำทีม, แท็คติกและวิธีการพัฒนาดาวรุ่งในแบบฉบับเจ้าบุญทุ่มมากพอสมควร
พาสิงโตคำรามชุดเล็กคว้าแชมป์โลก
หลังจากทำงานกับ ลิเวอร์พูล เป็นเวลา 5 ปี สตีฟ คูเปอร์ ได้โอกาสเข้าไปทำงานให้กับสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือ เอฟเอ โดยผลงานชิ้นโบแดงของเจ้าตัวเกิดขึ้นในปี 2017 หลังพา ทีมชาติอังกฤษชุดยู-17 ที่มีนักเตะคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมากมายในปัจจุบันเช่น เจดอน ซานโช่, ฟิล โฟเด้น ฯลฯ คว้าแชมป์โลกที่ อินเดีย ด้วยการเอาชนะ ทีมชาติสเปน ได้ 5-2 ในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ในฟุตบอลโลกปี 2018 เขายังได้รับมอบมายจาก แกเร็ธ เซาท์เกต ให้ทำการศึกษา ทีมชาติโคลอมเบีย ก่อนที่จะเจอกันในรอบน็อคเอ้าท์ซึ่งท้ายที่สุดสิงโตคำรามก็สามารถผ่านด่านทีมจากอเมริกาใต้ทีมนี้ไปได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
จุดเริ่มต้นและบาดแผลที่ สวอนซี
ในที่สุด สตีฟ คูเปอร์ ก็ได้จับงานในระดับสโมสรโดยเป็น สวอน ซิติ้ ทีมในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ดึงตัวเขาไปแทนที่ เกรแฮม พ็อตเตอร์ ที่ย้ายไปคุม ไบรท์ตันฯ บนเวทีพรีเมียร์ลีก ถึงแม้ทีมหงส์ขาวจะไม่ได้มีงบประมาณในการทำทีมมากนักแต่ด้วยความสัมพันธ์ของกุนซือชาวเวลส์ที่มีกับนักเตะดาวรุ่งในช่วงที่ทำงานกับ เอฟเอ จึงทำให้สโมสรสามารถยืมแข้งดูดี มีอนาคต อย่าง คอเนอร์ กัลลาเกอร์, มาร์ค เกฮี และ ริอาน บรูว์สเตอร์ มาร่วมทีมได้ นอกจากนี้ด้วยความสามารถในการทำทีมของ คูเปอร์ ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา 2 ฤดูกาลในถิ่น ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม เขาพาทีมจบฤดูกาลในตำแหน่งเพลย์ออฟทั้ง 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามโชคชะตาก็ดูเหมือนจะเล่นตลกหลัง สตีฟ คูเปอร์ และสวอน ซิติ้ต้องมาแยกทางกันในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพราะแฟนบอลไม่พอใจกับแนวทางการเล่นของทีมที่ไม่ได้เล่นแบบ “เดอะ สวอนซี เวย์” ซึ่งผลงานกับทีมปัจจุบันของเจ้าตัวก็คงพิสูจน์ให้เห็นว่าแฟนบอลและบอร์ดหงส์ขาวคิดผิด
พาเจ้าป่าอย่างน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์กลับมาผงาดบนพรีเมียร์ลีก
ท้ายที่สุด สตีฟ คูเปอร์ ก็มาได้ลงเอยกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในช่วงปลายเดือนกันยายนแทนที่ คริส ฮิวจ์ตัน ซึ่งในขณะนั้นผลงานของทีมเจ้าป่าเข้าขั้นวิกฤติหลังออกสตาร์ทย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1913 ด้วยการแพ้ 6 จาก 7 นัดแรกของฤดูกาลและการตั้งแต่ง คูเปอร์ เข้ามาเป็นกุนซือถือเป็นการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนที่ 14 ในรอบ 1 ทศวรรษของสโมสร อย่างไรก็ดีการตัดสินใจครั้งนี้ของบอร์ดบริหารถือว่าเข้าเป้าเต็มๆเพราะกุนซือชาวเวลส์พาทีมเปลี่ยนสถานะจากทีมหนีตกชั้นสู่น้องใหม่บนเวทีพรีเมียร์ลีกได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 ฤดูกาล นอกจากนี้เจ้าตัวยังพาทีมสร้างผลงานน่าประทับใจในศึก เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ด้วยการล้มยักษ์อย่าง อาร์เซน่อล และ เลสเตอร์ ซิติ้ รวมถึงแพ้ ลิเวอร์พูล แบบน่าชม
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวน่าสนใจของ สตีฟ คูเปอร์ ซึ่งแฟนบอลโดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นเก๋าๆคงต่างให้กำลังใจกุนซือหนุ่มผู้นี้ว่าจะพา น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อยู่ยงคงกระพันบนลีกสูงสุดและทำให้ ซิตี้ กราวด์ เป็นสังเวียนที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนเหมือนในอดีตอีกครั้ง

ซาไก
แชร์เนื้อหา