“แกเร็ธ เซาธ์เกต” รู้ถึงแก่นของ “DNA ทีมชาติอังกฤษ”
แนวทางของนักเตะทีมชาติอังกฤษ ทุกวันนี้ถูกวางรากฐานมาตั้งแต่ปี 2012 โดย “แดน แอชเวิร์ธ”อดีตประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ “The FA” ระหว่างปี2012 – 2018
แดนแอชเวิร์ธ ได้เริ่มแนวทางที่มีชื่อว่า “DNA ทีมชาติอังกฤษ”ไว้เพื่อสร้าง “ตัวตนใหม่” ให้กับนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ระดับเยาวชนขึ้นไปให้มีทั้ง “ความสามารถในการเล่นฟุตบอล”, “ความเข้าใจในการเล่นฟุตบอลในทุกสถานการณ์” และ “ทัศนคติ” ที่จะพาทีมสิงโตคำรามไปสู่ความสำเร็จอนาคต
ตัวของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เองนั้น เป็นผู้ที่อยู่ในกระบวนการสร้าง “DNAทีมชาติอังกฤษ” ร่วมกับ แอชเวิร์ธตั้งแต่เริ่มโครงการ โดยระหว่างปี 2013 – 2016 เซาธ์เกต ทำหน้าที่เป็นกุนซือของทีมชาติอังกฤษชุดยู-21 ทำให้เขารู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่านักเตะอังกฤษที่ผ่านกระบวนการเหล่านี้มาตั้งแต่ระดับเยาวชนมีตัวตนอย่างไรและเขาสามารถใช้งานอะไรจากนักเตะเหล่านี้ได้บ้าง
ในยูโร 2020ที่ผ่านมามีนักเตะทีมชาติอังกฤษที่ประสบความสำเร็จกับทีมชาติชุดเยาวชนในปี 2017 อยู่ในทีมถึง 10 คน ไม่ว่าจะเป็น ฟิล โฟเด้นและเจดอน ซานโช่ จากชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-17, ดีนเฮนเดอร์สัน และโดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน จากชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-20, เมสัน เมาท์,รีซ เจมส์, และแอรอน แรมส์เดลจากชุดแชมป์ยูโร ยู-19 จอร์แดน พิคฟอร์ด, เบ็น ชิลเวลล์ และแจ๊ค กรีลิช จากชุดยูโรยู-21 ซึ่งนักเตะเหล่านี้ล้วนถูกปลูกฝังให้เข้าใจในแนวทางของ“DNA ทีมชาติอังกฤษ” ทั้งสิ้น
การที่โค้ชและนักเตะเข้าใจฟุตบอลในแนวทางเดียวกันเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงานที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ นอกจากโค้ชรู้ว่าจะสามารถใช้งานอะไรในตัวนักเตะได้บ้างนักเตะเองเข้าใจและรู้ว่าจะเล่นฟุตบอลอย่างไรให้เข้ากับระบบของทีม
แกเร็ธเซาธ์เกต ยึดมั่นและมีเหตุผลรองรับในแนวทางและการตัดสินใจของตัวเอง
การเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษแน่นอนว่า แกเร็ธ เซาธ์เกตนั้นแบกความคาดหวังมหาศาลของทั้งแฟนบอลและสื่อที่พร้อมจะโจมตีคุณได้ทุกเมื่อที่คุณพลาดแต่ตลอดทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 จนถึงก่อนที่จะพ่ายในการดวลจุดโทษในนัดชิงการตัดสินใจต่างๆของเขาที่มักเป็นข้อกังขาต่อแฟนบอลนี่แหละที่พาทีมชาติอังกฤษมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้
หลังจบเกมที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ ทีมชาติสกอตแลนด์ 0 – 0 ในรอบแบ่งกลุ่ม แกเร็ธ เซาธ์เกตนั้นถูกแฟนบอลและสื่อวิจารณ์โจมตีอย่างหนัก ถึงวิธีการเล่นที่เน้นเหนียวไว้ก่อนไม่กล้าเปิดเกมรุกใส่คู่แข่งทั้งที่มีผู้เล่นตัวรุกพรสวรรค์มากมายทั้ง แจ๊คกรีลิช, เจดอน ซานโช่, ฟิลโฟเด้น หรือ แฮร์รี่ เคน
แต่เซาธ์เกต ก็ยังคงยึดมั่นในแผนการที่เตรียมมาว่าการเล่นแบบนี้จะพา ทีมอังกฤษไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ แล้วเขาก็สามารถไปทีมชาติอังกฤษ มาเกือบถึงสุดทางด้วยการไม่แพ้ใครในการเล่น90นาที หรือ 120 นาที ก่อนจะแพ้ให้ทีมชาติอิตาลีในการดวลจุดโทษ
ไม่แน่ว่าหากเขาเลือกจะเล่นฟุตบอลแบบเปิดเกมรุกพวกเขาอาจจะโดนทีมชาติเยอรมัน สอยร่วงตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
ตลอดทัวร์นาเมนต์แกเร็ธ เซาธ์เกต กล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งต่างๆที่สวนกระแสแฟนบอลและสื่อไม่ว่าจะเป็นการยืนหยัดใช้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นตัวหลักของทีมทั้งที่มีกระแสต่อต้านค่อนข้างมาก ก่อนที่ สเตอร์ลิ่ง จะตอบแทนความไว้ใจของเซาธ์เกตด้วยการเป็นคีย์แมนที่พา ทีมชาติอังกฤษไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม ยิง 3 ประตูแรกให้ทีมชาติอังกฤษในยูโร 2020, จ่ายให้ แฮรี่ เคน ทำประตูในรอบ 8 ทีมสุดท้าย, มีส่วนกับทั้ง 2 ประตูในรอบรองชนะเลิศด้วยการกดดันซิมง เคียร์ จนทำเข้าประตูตัวเอง และเรียกจุดโทษให้ทีมชาติอังกฤษได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
แกเร็ธเซาธ์เกตกล้าที่จะสวนกระแสแฟนบอลที่เรียกร้องให้ใช้นักเตะที่มีพรสวรรค์ในเกมรุกอันน่าตื่นตาอย่างแจ๊ค กรีลิช หรือ เจดอน ซานโช่ แต่เขาก็เลือกใช้ บูกาโย่ ซาก้าปีกวัย 19ปี แทน ซึ่ง ซาก้าก็ทำให้เห็นอีกเช่นกันว่าเขาสามารถมีประโยชน์ต่อทีมและเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพาทีมชาติอังกฤษไปถึงรอบชิงเช่นกัน
ไม่ว่าการตัดสินใจของเขาจะขัดใจแฟนบอลและสื่อเพียงใดแต่มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต สามารถพาทีมชาติอังกฤษมาใกล้ฝั่งฝันเข้าไปทุกที
ไม่มีเคยมีโค้ชคนไหนทำได้แบบ แกเร็ธ เซาธ์เกต มาก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดของเหตุผลทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้นคือการที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวทางและการตัดสินใจต่างๆของเขาสามารถพาทีมชาติอังกฤษ ไปอยู่ในระดับที่โค้ชคนอื่นไม่สามารถพาไปถึงมาเนิ่นนาน
ในช่วงเวลากว่า50ปี ตั้งแต่ที่ ทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในปี 1966จนถึงฟุตบอลยูโร 2016 แม้จะมีผู้เล่นระดับซุปเปอร์สตาร์หมุนเวียนกันเข้ามาติดทีมมากมายรวมไปถึงการใช้ผู้จัดการทีมตัวท๊อปไม่ว่าจะเป็น เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน,สเวนโกรัน อีริคส์สัน หรือ ฟาบิโอ คาเปลโล ในแต่ละยุคสมัย แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ (ฟุตบอลโลก และ ยูโร) ได้แม้แต่ครั้งเดียวและสามารถผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศของเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ ได้เพียง 3 ครั้ง ใน ยูโร 1968, ฟุตบอลโลก 1990, และ ยูโร 1996
แต่หลังจากที่แกเร็ธ เซาธ์เกต เข้ามาสร้าง ทีมชาติอังกฤษ ขึ้นมาใหม่ในปี 2016 เขาสามารถพาทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของรายการเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ 2รายการติดต่อกันทั้ง ฟุตบอลโลก 2018 และ ยูโร 2020
แม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์ยูโร 2020มาครองได้ แต่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็คือโค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถพาทีมชาติอังกฤษ เขาถึงรอบชิงของฟุตบอลยูโร ได้สำเร็จและถือเป็นโค้ชคนแรกที่พาทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบชิงของเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ และใกล้เคียงที่สุดกับการเป็นแชมป์ใดๆในรอบ55 ปี
การแพ้การดวลจุดโทษต่อ ทีมชาติอิตาลี ที่พิสูจน์ตัวเองมาตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ว่าพวกเขาแน่และแข็งแกร่งขนาดไหน จึงถือเป็นเรื่องที่น่าอายเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำมันยังไม่สมบูรณ์แบบและมีเรื่องที่ยังต้องไปปรับปรุงแก้ไขเช่นการวางตัวยิงจุดโทษที่ทำให้เป็นเหตุชวดแชมป์ แต่ในเมื่อเขาสามารถปลุกความหวัง ทีมชาติอังกฤษให้มาถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถทำได้มาเนิ่นนาน ทำไมแฟนบอลไม่ลองให้โอกาส เซาธ์เกตได้แก้มือในฟุตบอลโลก 2022หน่อยหล่ะ?
แล้วถ้าคุณเลือกได้ คุณจะยังวางใจให้ “แกเร็ธ เซาธ์เกต” เป็นผู้ทำภารกิจพา “Football” ให้ “ComingHome” อยู่หรือไม่ ?
เหตุผลที่ “ทีมชาติอังกฤษ” ควรไปต่อกับ “แกเร็ธ เซาธ์เกต” | TunGame
“แกเร็ธ เซาธ์เกต” รู้ถึงแก่นของ “DNA ทีมชาติอังกฤษ”
แนวทางของนักเตะทีมชาติอังกฤษ ทุกวันนี้ถูกวางรากฐานมาตั้งแต่ปี 2012 โดย “แดน แอชเวิร์ธ”อดีตประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ “The FA” ระหว่างปี2012 – 2018
แดนแอชเวิร์ธ ได้เริ่มแนวทางที่มีชื่อว่า “DNA ทีมชาติอังกฤษ”ไว้เพื่อสร้าง “ตัวตนใหม่” ให้กับนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ระดับเยาวชนขึ้นไปให้มีทั้ง “ความสามารถในการเล่นฟุตบอล”, “ความเข้าใจในการเล่นฟุตบอลในทุกสถานการณ์” และ “ทัศนคติ” ที่จะพาทีมสิงโตคำรามไปสู่ความสำเร็จอนาคต
ตัวของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เองนั้น เป็นผู้ที่อยู่ในกระบวนการสร้าง “DNAทีมชาติอังกฤษ” ร่วมกับ แอชเวิร์ธตั้งแต่เริ่มโครงการ โดยระหว่างปี 2013 – 2016 เซาธ์เกต ทำหน้าที่เป็นกุนซือของทีมชาติอังกฤษชุดยู-21 ทำให้เขารู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่านักเตะอังกฤษที่ผ่านกระบวนการเหล่านี้มาตั้งแต่ระดับเยาวชนมีตัวตนอย่างไรและเขาสามารถใช้งานอะไรจากนักเตะเหล่านี้ได้บ้าง
ในยูโร 2020ที่ผ่านมามีนักเตะทีมชาติอังกฤษที่ประสบความสำเร็จกับทีมชาติชุดเยาวชนในปี 2017 อยู่ในทีมถึง 10 คน ไม่ว่าจะเป็น ฟิล โฟเด้นและเจดอน ซานโช่ จากชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-17, ดีนเฮนเดอร์สัน และโดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน จากชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-20, เมสัน เมาท์,รีซ เจมส์, และแอรอน แรมส์เดลจากชุดแชมป์ยูโร ยู-19 จอร์แดน พิคฟอร์ด, เบ็น ชิลเวลล์ และแจ๊ค กรีลิช จากชุดยูโรยู-21 ซึ่งนักเตะเหล่านี้ล้วนถูกปลูกฝังให้เข้าใจในแนวทางของ“DNA ทีมชาติอังกฤษ” ทั้งสิ้น
การที่โค้ชและนักเตะเข้าใจฟุตบอลในแนวทางเดียวกันเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงานที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ นอกจากโค้ชรู้ว่าจะสามารถใช้งานอะไรในตัวนักเตะได้บ้างนักเตะเองเข้าใจและรู้ว่าจะเล่นฟุตบอลอย่างไรให้เข้ากับระบบของทีม
แกเร็ธเซาธ์เกต ยึดมั่นและมีเหตุผลรองรับในแนวทางและการตัดสินใจของตัวเอง
การเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษแน่นอนว่า แกเร็ธ เซาธ์เกตนั้นแบกความคาดหวังมหาศาลของทั้งแฟนบอลและสื่อที่พร้อมจะโจมตีคุณได้ทุกเมื่อที่คุณพลาดแต่ตลอดทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 จนถึงก่อนที่จะพ่ายในการดวลจุดโทษในนัดชิงการตัดสินใจต่างๆของเขาที่มักเป็นข้อกังขาต่อแฟนบอลนี่แหละที่พาทีมชาติอังกฤษมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้
หลังจบเกมที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ ทีมชาติสกอตแลนด์ 0 – 0 ในรอบแบ่งกลุ่ม แกเร็ธ เซาธ์เกตนั้นถูกแฟนบอลและสื่อวิจารณ์โจมตีอย่างหนัก ถึงวิธีการเล่นที่เน้นเหนียวไว้ก่อนไม่กล้าเปิดเกมรุกใส่คู่แข่งทั้งที่มีผู้เล่นตัวรุกพรสวรรค์มากมายทั้ง แจ๊คกรีลิช, เจดอน ซานโช่, ฟิลโฟเด้น หรือ แฮร์รี่ เคน
แต่เซาธ์เกต ก็ยังคงยึดมั่นในแผนการที่เตรียมมาว่าการเล่นแบบนี้จะพา ทีมอังกฤษไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ แล้วเขาก็สามารถไปทีมชาติอังกฤษ มาเกือบถึงสุดทางด้วยการไม่แพ้ใครในการเล่น90นาที หรือ 120 นาที ก่อนจะแพ้ให้ทีมชาติอิตาลีในการดวลจุดโทษ
ไม่แน่ว่าหากเขาเลือกจะเล่นฟุตบอลแบบเปิดเกมรุกพวกเขาอาจจะโดนทีมชาติเยอรมัน สอยร่วงตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
ตลอดทัวร์นาเมนต์แกเร็ธ เซาธ์เกต กล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งต่างๆที่สวนกระแสแฟนบอลและสื่อไม่ว่าจะเป็นการยืนหยัดใช้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นตัวหลักของทีมทั้งที่มีกระแสต่อต้านค่อนข้างมาก ก่อนที่ สเตอร์ลิ่ง จะตอบแทนความไว้ใจของเซาธ์เกตด้วยการเป็นคีย์แมนที่พา ทีมชาติอังกฤษไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม ยิง 3 ประตูแรกให้ทีมชาติอังกฤษในยูโร 2020, จ่ายให้ แฮรี่ เคน ทำประตูในรอบ 8 ทีมสุดท้าย, มีส่วนกับทั้ง 2 ประตูในรอบรองชนะเลิศด้วยการกดดันซิมง เคียร์ จนทำเข้าประตูตัวเอง และเรียกจุดโทษให้ทีมชาติอังกฤษได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
แกเร็ธเซาธ์เกตกล้าที่จะสวนกระแสแฟนบอลที่เรียกร้องให้ใช้นักเตะที่มีพรสวรรค์ในเกมรุกอันน่าตื่นตาอย่างแจ๊ค กรีลิช หรือ เจดอน ซานโช่ แต่เขาก็เลือกใช้ บูกาโย่ ซาก้าปีกวัย 19ปี แทน ซึ่ง ซาก้าก็ทำให้เห็นอีกเช่นกันว่าเขาสามารถมีประโยชน์ต่อทีมและเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพาทีมชาติอังกฤษไปถึงรอบชิงเช่นกัน
ไม่ว่าการตัดสินใจของเขาจะขัดใจแฟนบอลและสื่อเพียงใดแต่มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต สามารถพาทีมชาติอังกฤษมาใกล้ฝั่งฝันเข้าไปทุกที
ไม่มีเคยมีโค้ชคนไหนทำได้แบบ แกเร็ธ เซาธ์เกต มาก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดของเหตุผลทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้นคือการที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวทางและการตัดสินใจต่างๆของเขาสามารถพาทีมชาติอังกฤษ ไปอยู่ในระดับที่โค้ชคนอื่นไม่สามารถพาไปถึงมาเนิ่นนาน
ในช่วงเวลากว่า50ปี ตั้งแต่ที่ ทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในปี 1966จนถึงฟุตบอลยูโร 2016 แม้จะมีผู้เล่นระดับซุปเปอร์สตาร์หมุนเวียนกันเข้ามาติดทีมมากมายรวมไปถึงการใช้ผู้จัดการทีมตัวท๊อปไม่ว่าจะเป็น เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน,สเวนโกรัน อีริคส์สัน หรือ ฟาบิโอ คาเปลโล ในแต่ละยุคสมัย แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ (ฟุตบอลโลก และ ยูโร) ได้แม้แต่ครั้งเดียวและสามารถผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศของเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ ได้เพียง 3 ครั้ง ใน ยูโร 1968, ฟุตบอลโลก 1990, และ ยูโร 1996
แต่หลังจากที่แกเร็ธ เซาธ์เกต เข้ามาสร้าง ทีมชาติอังกฤษ ขึ้นมาใหม่ในปี 2016 เขาสามารถพาทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของรายการเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ 2รายการติดต่อกันทั้ง ฟุตบอลโลก 2018 และ ยูโร 2020
แม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์ยูโร 2020มาครองได้ แต่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็คือโค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถพาทีมชาติอังกฤษ เขาถึงรอบชิงของฟุตบอลยูโร ได้สำเร็จและถือเป็นโค้ชคนแรกที่พาทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบชิงของเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์ และใกล้เคียงที่สุดกับการเป็นแชมป์ใดๆในรอบ55 ปี
การแพ้การดวลจุดโทษต่อ ทีมชาติอิตาลี ที่พิสูจน์ตัวเองมาตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ว่าพวกเขาแน่และแข็งแกร่งขนาดไหน จึงถือเป็นเรื่องที่น่าอายเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำมันยังไม่สมบูรณ์แบบและมีเรื่องที่ยังต้องไปปรับปรุงแก้ไขเช่นการวางตัวยิงจุดโทษที่ทำให้เป็นเหตุชวดแชมป์ แต่ในเมื่อเขาสามารถปลุกความหวัง ทีมชาติอังกฤษให้มาถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถทำได้มาเนิ่นนาน ทำไมแฟนบอลไม่ลองให้โอกาส เซาธ์เกตได้แก้มือในฟุตบอลโลก 2022หน่อยหล่ะ?
แล้วถ้าคุณเลือกได้ คุณจะยังวางใจให้ “แกเร็ธ เซาธ์เกต” เป็นผู้ทำภารกิจพา “Football” ให้ “ComingHome” อยู่หรือไม่ ?
support
แชร์เนื้อหา
FOLLOW US
POPULAR
ราฟาแอล วาราน มาแล้ว แชมป์ มาได้หรือยัง? | TunGame
อ่านต่อ »จากนักเตะติดสุราจนถึงผู้เล่นระดับตำนาน … เปิดอดีต 6 แข้ง เบอร์ 10 ของอาร์เซน่อล | TunGame
อ่านต่อ »สุดดราม่า! บทวิเคราะห์หลังเกม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | TunGame
อ่านต่อ »ทีมยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก ประจำครึ่งฤดูกาลแรก | TunGame
อ่านต่อ »LATEST POST
พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝ่า 2 เดือนอำมะหิตแต่จบด้วย แชมป์ | TunGame
อ่านต่อ »บทสัมภาษณ์แฟนปีศาจแดง | TunGame
อ่านต่อ »ถึงเวลาแล้วที่เชลซีต้องแยกทางกับเมสัน เมาท์ | TunGame
อ่านต่อ »ใครจะมาคุมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ในฤดูกาลหน้า? | TunGame
อ่านต่อ »TOPICS
News Update
Commentary
Documentary
Match Analysis
RELATED POST
พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝ่า 2 เดือนอำมะหิตแต่จบด้วย แชมป์ | TunGame
บทสัมภาษณ์แฟนปีศาจแดง | TunGame
ถึงเวลาแล้วที่เชลซีต้องแยกทางกับเมสัน เมาท์ | TunGame
ใครจะมาคุมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ในฤดูกาลหน้า? | TunGame