แค้นนี้ต้องชำระ … พรีวิวนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เรอัล มาดริด | TunGame

และแล้วในค่ำคืนวันเสาร์นี้ 1 ในแมทช์ที่แฟนบอลตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากที่สุดในฤดูกาลอย่างนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็มาถึงโดยจะเป็นการรีแมทช์นัดชิงจากปี 2018 ระหว่างหงส์แดง ลิเวอร์พูล กับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ซึ่งเกมส์นี้คงเป็นเกมส์ที่เหล่า เดอะ ค็อป หมายมั่นปั้นมือว่าทีมรักจะสามารถชำระแค้นจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วได้สำเร็จหลังอดีตแข้ง โลส บังโกส อย่าง เซร์คิโอ รามอส และผองเพื่อนทำแสบกับพวกเขาไว้ ดังนั้น ทันเกม จะไปทำการพรีวิวแมทช์นี้เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนทั้งคู่จะฟาดแข้งกัน

สถิติสูสี

2 ทีมที่ครองถ้วยบิ๊กเอียร์รวมกัน 19 สมัย มีสถิติการเจอกันบนเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งหมดเป็นจำนวน 8 ครั้ง ซึ่ง ลิเวอร์พูลเอาชนะ เรอัล มาดริด ไปได้ 4 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง และแพ้ไป 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่ 2 ทีมเจอกันเกิดขึ้นในฤดูกาล 2020/2021 ที่ผ่านมานี้เองโดยราชันชุดขาวเป็นฝ่ายน็อคทีมหงส์แดงร่วงในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 3-1

สำหรับการเจอกันในนัดชนะเลิศ พวกเขาเจอกันมาทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1981 ซึ่ง ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเอาชนะ เรอัล มาดริด ไปได้ 1-0 จาก อลัน เคนเนอร์ดี้ และทำให้ บ๊อบ เพสลี่ย์ กุนซือระดับตำนานพาเครื่องจักรสีแดงคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นครั้งที่ 3 ของสโมสร

ส่วนครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 นั้นถือเป็นแมทช์ที่มีเรื่องให้พูดถึงอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถึงขั้นต้องโดนเปลี่ยนตัวออก, ลูกยิงจักรยานอากาศของตัวสำรองพันล้านอย่าง แกเร็ธ เบล และความผิดพลาด 2 ครั้งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของ ลอริส คาริอุส ผู้รักษาประตูหน้าหล่อของ ลิเวอร์พูล โดยเหตุการณ์ที่ว่าทั้งหมดส่งผลให้ราชันชุดขาวเป็นฝ่ายเอาชนะทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไปได้ 3-1 และคว้าแชมป์สมัยที่ 13 ไปครอง

เส้นทางรอบน็อคเอ้าท์ที่แตกต่าง

ต้องบอกเลยว่าเส้นทางของทั้ง 2 ทีมในการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ณ กรุ่งปารีส นั้นค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เริ่มต้นจาก ลิเวอร์พูล ที่นอกเหนือจากการเจอ อินเตอร์ มิลาน ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย คู่ต่อสู้ของพวกเขาในรอบถัดๆมาอย่าง เบนฟิก้า กับ บียาร์เรอัล ก็ถือเป็นทีมที่มีศักยภาพรองกว่าอย่างชัดเจนซึ่งถึงแม้จะมีโมเมนต์ให้เหล่า เดอะ ค็อปหวาดเสียวบ้างในทั้ง 2 รอบแต่ด้วยคุณภาพของนักเตะที่ดีกว่าก็ทำให้พลพรรคหงส์แดงผ่านทั้ง 2 ทีมมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ในทางตรงกันข้าม เรอัล มาดริด ของ คาร์โล อันเชล็อตติ นั้นถือว่าผ่านเข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศแบบสะบักบอมและสร้างปาฏิหารย์มาตลอดในรอบน็อคเอ้าท์ไล่ตั้งแต่การยิง 3 ประตูพลิกแซง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในเลกที่ 2 รอบ 16 สุดท้าย, ดับฝันการคัมแบ็คของ เชลซี ในช่วงต่อเวลาพิเศษของรอบ 8 ทีมสุดท้าย รวมถึงพลิกนรกกลับมาเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิติ้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้หลังยิง 2 ประตูในช่วงนาทีสุดท้ายและแซงคว้าชัยได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษของรอบรองชนะเลิศ

ศึกตัดสินบัลลงดอร์ ?

นอกจากจะเป็นนัดที่ตัดสินว่าสโมสรไหนจะก้าวขึ้นไปเป็นเจ้ายุโรปประจำฤดูกาลนี้แล้ว แมทช์นี้อาจจะเป็นการตัดสินว่านักเตะคนไหนจะคว้ารางวัลอันทรงเกียรติที่สุดของอาชีพนักฟุตบอลอย่าง บัลลงดอร์ ประจำปีนี้ระหว่าง ซาดิโอ มาเน่ หรือ คาริม เบนเซม่า อีกด้วย

โดยดาวเตะเซเนกัลนั้นถือว่ามีผลงานในเชิงจำนวนถ้วยรางวัลที่เด่นกว่าอย่างชัดเจนหลังคว้าบอลถ้วยในประเทศอย่าง คาราบาว คัพ และ เอฟเอคัพ กับ ลิเวอร์พูล รวมถึงคว้าแชมป์ แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ในระดับนานาชาติมาครองเมื่อต้นปีที่ผ่าน ซึ่งถ้าคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกก็จะทำให้ดาวเตะวัย 30 ปี มีถ้วยรางวัลมาประดับอาชีพนักฟุตบอลถึง 4 ถ้วยภายในฤดูกาลเดียว

ตัดภาพมาที่หัวหอกวัย 34 ปีกันบ้าง โดยถึงแม้ในแง่ของถ้วยรางวัลเขาจะสู้ทาง ซาดิโอ มาเน่ ไม้ได้แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่สุดยอดเหลือเกินในฤดูกาลนี้ไม่ว่าจะเป็นการพาทีมคว้าแชมป์ลีกรวมถึงเป็น เดอะ แบก คนสำคัญที่ทำให้ รีล มาดริด เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศก็น่าจะทำให้ยอดกองหน้าชาวฝรั่งเศสคว้ารางวัลบัลลงดอร์ไปได้ถ้าหากเขายังสามารถแบกทีมย้ำแค้น ลิเวอร์พูล ได้อีกหนในคืนวันเสาร์นี้

จาก “ผี” สู่ “หงส์” กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป | TunGame

วัดกึ๋น2ยอดกุนซือ!เปิดผลงานอันเชล็อตติปะทะคล็อปป์