เมื่อ เดวิด มอยส์ สร้างความหวังให้เหล่า ‘เดอะค็อปป์’: หลังเกม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | TunGame

วันนี้เกมรับของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทำงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพพอๆ กับ เกมรุกที่ตรงเป็นตุง ขึ้นนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ถึง 2 ประตูในครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังจะเสียประตู 2 ลูกและเกือบแพ้จากการเสียจุดโทษก่อนจบเกม 4 นาที แต่ความสุดยอดของ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ เซฟ 1 คะแนนสำคัญให้กับทีมในบ้าน

มาร์ค โนเบิล กัปตันทีมของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับเกมในบ้านนัดสุดท้ายของเขาก่อนจะแขวนสตั๊ด

เกมรุกสุดเร็วกับเกมรับสุดแกร่ง vs เกมรุกอืดกับเกมรับสุดยุ่ย

ในเกมนี้ มิคาอิล อันโตนิโอ และ เคร็ก ดอว์สัน ผ่านความฟิตสามารถลงได้พร้อมกับ มาร์ค โนเบิล กัปตันทีมของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับเกมในบ้านนัดสุดท้ายของเขาก่อนจะแขวนสตั๊ด ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขาดแนวรับตัวหลักเกือบทั้งแผง ไม่ว่าจะเป็น รูเบน ดิอาส, ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์ รวมถึง นาธาน อาเก้ ที่ไม่ฟิตเต็มร้อย ทำให้ อายมิริค ลาปอร์ก และ แฟร์นานดินโญ่ ที่แม้จะไม่ฟิตเต็มร้อยเช่นกันเพราะได้รับอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากนัดเจอ วูล์ฟแฮมป์ตัน ครั้งที่แล้ว แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่มีจับคู่กันลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค

ในเกมนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผงเกมรับของ  แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แทบไม่อาจต้านทานความเร็วและความแข็งแกร่งของ มิคาอิล อันโตนิโอ ได้เลยในหลายๆ จังหวะ ทำให้เมื่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้จังหวะสวนกลับเมื่อไหร่ โอกาสเป็นประตูจึงมีสูงมาก บวกกับความคมของ จาร็อด โบเว่น ที่ในวันนี้แม้จะไม่ได้มีโอกาสยิงมากมาย แต่ก็เพียงพอให้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด สามารถจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำถึง 2 ประตู และเกือบได้อีก 2 ประตูในครึ่งหลังเมื่อ อายมิริค ลาปอร์ก เคลียร์ไม่ขาดและ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ หวงบอลจนทำให้ อันโตนิโอ ไปฉกบอกมาจ่ายให้ โบเว่น ยิงตรงกรอบแต่ ลาปอร์ก กลับมาบล็อกแก้ตัวไว้ได้ทันในนาทีที่ 60 และอีกครั้งเมื่อ แฟร์นานดินโญ่ โดนกดดันจากข้างหน้าและพยายามจะส่งคืนหลังแต่ไม่ได้มองว่ายังมี อันโตนิโอ ยืนขวางระหว่างเขากับ เอแดร์สัน อยู่ แต่จังหวะสุดท้ายที่ อันโตนิโอ ยกข้ามผู้รักษาประตูชาวบราซิลได้ แต่บอลเข้าหน้าต่างอย่างน่าเสียดาย (หรือจะนับเป็นโชคของ แมนฯ ซิตี้ ก็ว่าได้) 

ต่างกันลิบลับกับทีมลุ้นแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เมื่อมีโอกาสได้สวนกลับ นักเตะในแนวรุกกลับไม่สามารถหาพื้นที่ได้เปรียบได้เลย ทำให้ต้องชะลอจังหวะลงทุกครั้งที่ทำเกมรุกจนนักเตะของ เวสต์แฮมฯ เข้ามาปิดพื้นที่ที่เหลือได้ทั้งหมด และเมื่อมีโอกาสจังหวะยิงในครึ่งแรก หากไม่ยิงออกหรือข้ามคานก็กลายเป็นยิงติดแนวรับฝั่งตรงข้ามไปเสียหมด แถมแทบไม่มีนักเตะเข้าไปรอยิงในกรอบเขตโทษเลยด้วยซ้ำ เราจะเห็นได้หลายๆ ครั้งว่านักเตะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะไปกองอยู่ตรงบริเวณพื้นที่สุดท้ายนอกกรอบเขตโทษอยู่ถึง 3-4 คนรอจังหวะเปิดหรือทำเกมเข้าไป แต่เมื่อทำสำเร็จ ก็แน่นอนว่าไม่มีใครรอชาร์จ หรือหากมีก็โดนความใหญ่โตของนักเตะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด บังซะมิด

การแก้เกมที่ไม่แก้เกมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

แน่นอนว่าเมื่อทีมที่ต้องการคะแนนเพื่อลุ้นแชมป์โดนนำไปถึง 2 ประตูในครึ่งแรก จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแท็คติคในการเล่นในครึ่งหลัง แต่ไม่ใช่กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในวันนี้ที่นอกจะไม่มีการเปลี่ยนนักเตะเพื่อแก้เกมหรือเพิ่มมิติในแนวรุก (หรือรับ) สไตล์การเล่นก็แทบจะเหมือนเดิมในครึ่งแรก และประตูที่ได้จาก แจ็ค กรีลิช ในนาทีที่ 49 ก็เป็นการเปิดบอลจากด้านข้างสไตล์เดิม ครั้งนี้มาจาก โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ที่ก็เกือบโดนโขกสะกัดเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้ได้ โรดรี้ ที่ชิงโหม่งกลับมาให้ กรีลิช ที่ยืนอยู่ตรงหัวกะโหลกวอลเล่ย์กระดอนพื้นเข้าไป 

ส่วนประตูที่ 2 ก็ได้จากจังหวะฟรีคิกเปิดเข้ามา วาดิเมียร์ คูฟาล โหม่งเข้าประตูตัวเองแบบที่ถ้าเป็นนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องบอกว่าคมกริบ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ยืนขาตายหมดสิทธิ์เซฟไปแล้ว เมื่อพิจารณาดูดีๆ แล้ว ทั้ง 2 ประตูได้มาจากจังหวะที่เหมือนกับการเล่นในครึ่งแรกแบบเป๊ะ ๆ แต่กลายเป็นกองหลังของ เวสต์แฮมฯ เองที่ไม่สามารถทำตามมาตรฐานของตัวเองในครึ่งแรกได้

ความไม่เฉียบคมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับการพลาดจุดโทษอีกครั้งของ ริยาด มาห์เรซ

การเล่นของ แมนฯ ซิตี้ เริ่มเร็วมากขึ้นเพราะด้วยเวลาที่น้อยลงทุกที แต่แนวรับของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ยังทำตามแผนของ เดวิด มอยส์ ได้ก่อนที่จะจบเกม 4 นาที กาเบรียล เชซุส สามารถเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ ณ จุด ๆ นี้เหล่า ‘ซิตี้เซ่นส์’ น่าจะเริ่มใจชื้นหลังจากได้ยินจากคนพากย์ว่าก่อนหน้านี้มีทั้งหมด 52 ครั้งที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามหลังคู่แข่งอยู่ 2 ประตู แต่สถิติพลิกขึ้นนำคือ 0% เมื่อผลที่ดีที่สุดก็คือเสมอ (เสมอ 1 แพ้ 51) แต่ครั้งนี้ แมนฯ ซิตี้ ได้โอกาสทำลายสถิตินั้นแล้ว…

ถ้าเป็นทีมอื่นก็คงไม่ต้องลุ้นมากนัก แต่พอเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วมันกลับยากซะเหลือเกินเมื่อ ริยาด มาห์เรซ รับหน้าที่เป็นคนสังหารจุดโทษ แต่ด้วยความสุดยอดของ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ก็สามารถเซฟจุดโทษไว้ได้ทั้งยังครองสถิติเสียจุดโทษ 6 ครั้งแต่เสียแค่ 2 ประตูต่อไป แต่สำหรับ มาห์เรซ แล้วนี่คือแทบจะเป็นหนังม้วนเดิมกับเมื่อฤดูกาล 2018/19 เมื่อเขารับหน้าที่เป็นคนยิงจุดโทษในนาทีที่ 85 โดยมีสกอร์ 0 – 0

กับ ลิเวอร์พูล เป็นตัวกดดันอยู่ข้างหลัง แน่นอนว่าเขาพลาด และทำให้ทีมต้องลำบากลุ้นกันยันนัดสุดท้าย แม้ แมนฯ ซิตี้ จะเป็นแชมป์ในฤดูกาลนั้น แต่ก็นำ ลิเวอร์พูล เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ซึ่งประวัติศาสตร์อาจซ้ำร้อยอีกครั้งในปีนี้

แต่หากฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องพลาดแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ให้กับ ลิเวอร์พูล จุดโทษนี้น่าจะหลอกหลอน ริยาด มาห์เรซ ไปอีกซักระยะอย่างแน่นอน

ฤดูกาลสุดมันส์กับการลุ้นกันยันนัดสุดท้าย

สำหรับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แม้ว่าผลเสมออาจจะไม่ได้เลวร้ายนัก โดยยังได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า คอนเฟอร์เรนซ์ ลีก) แต่ความหวังไปเล่นในทัวร์นาเมนท์ที่ใหญ่กว่ายังไงก็คือเป้าหมายหลัก คงต้องลุ้นให้ในนัดสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้และพวกเขาชนะจึงจะการันตีที่ 6 กับการไปเล่น ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก

สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนี้นำ ลิเวอร์พูล อยู่ 4 คะแนนแต่แข่งมากกว่า 1 นัดยังคงสามารถกุมชะตาของตัวเองได้ ถ้าหากพวกเขาสามารถเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ในนัดสุดท้ายได้ (และต้องชนะเท่านั้น) พวกเขาจะได้ฉลองแชมป์ในบ้านทันที ซึ่งหากทำไม่ได้และ ลิเวอร์พูล เก็บ 6 แต้มเต็มที่เหลือ แฟนๆ ‘หงส์แดง’ ก็เตรียมรถแห่อีกรอบได้เลย

ตารางการแข่งขัน ตารางผลบอล

เต็งแชมป์ EPL

tungame

tungame

Tungame.co เว็บไซต์รวบรวมข่าวสารและบทวิเคราะห์แบบเจาะลึกของวงการฟุตบอล ข่าวดัง ข่าวเด่น พร้อมข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

แชร์เนื้อหา