บทวิเคราะห์หลังเกมส์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ ลีดส์ ยูไนเต็ด การแข่งขันพรีเมียร์ลีก | TunGame

หลังจากห่างหายจากเวทีลีกสูงสุดไปถึง 16 ปี ศึกสงครามแห่งดอกกุหลาบระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับ ลีดส์ ยูไนเต็ดก็กลับมาฟาดแข้งอีกครั้งในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ธันวาคม) ซึ่งเหล่าแฟนบอลผีแดงก็คงได้ฟินกันสุดๆหลังจากเหล่าพลพรรคปีศาจแดงเปิดโอลด์แทรฟฟอร์ดถล่มยูงทองยับเยินไป 6 ประตูต่อ 2 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเกมส์ที่เอ็นเตอร์เทนที่สุดระหว่างการเจอกันของทั้งสองทีมและเป็นครั้งแรกตั้งแต่ค.ศ. 1959 ที่แมนยูฯยิงใส่ลีดส์ขาดลอยถึง 6 ประตู ดังนั้นทันเกมจึงอยากมาพูดถึง4 ประเด็นสำคัญหลังศึกครั้งนี้กัน

1. แดเนี่ยล เจมส์ ตัวจริง

ฝั่ง แมนยูไนเต็ด มีการปรับผู้เล่นถึง 5 ตำแหน่งจากเกมส์ที่บุกเฉือนชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2 ประตู ต่อ 3 โดยการปรับตัวผู้เล่นที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือการที่แดเนี่ยล เจมส์ ผู้ที่ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนักในช่วงหลัง ลงสนามเป็นตัวจริงซึ่งกุนซืออย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมส์ว่า “แดนทำงานอย่างหนักในสนามซ้อมและเราคิดว่าคุณสมบัติของเขาจะช่วยเราได้ในเกมส์นี้” และก็เป็นอย่างที่บอสชาวนอร์เวย์ลั่นวาจาไว้หลังจากที่เขาตัดสินใจใช้จรวดทางเรียบชาวเวลส์ผู้นี้เพื่อตอบโต้แท็คติกที่ทางมาร์เซโลบิเอลซ่า กุนซือสุดเก๋าของลีดส์เน้นและยืนยันที่จะไม่เปลี่ยนแปลงนั่นก็คือการเล่นเกมส์รุกโดยโซลชาเลือกใช้ความเร็วและความขยันของเจมส์ในการเล่นเกมส์โต้กลับและไล่เพรสซิ่งด้านบนซึ่งความพยายามของเจมส์ก็ทำให้เกมส์รับของลีดส์ปั่นป่วนหลังจากที่เขาสามารถทำตามแท็คติกได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องนอกจากนี้เขายังตอบแทนความไว้ใจของเจ้านายด้วยการซัดไป 1 ประตูให้ทีมนำห่าง 5 ประตูต่อ 1 ดังนั้นถึงแม้ยังมีบางจังหวะที่ขาดๆเกินๆไปบ้างสำหรับปีกวัย 23 ปีในเกมส์นี้ แต่การทำประตูในลีกได้เป็นนัดแรกตั้งแต่ตะบันใส่เซาท์แธมป์ตันเมื่อต้นฤดูกาลที่แล้วน่าจะช่วยเรียกความมั่นใจให้เขาได้ไม่มากก็น้อยซึ่งนั่นก็จะเป็นผลดีต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในการเพิ่มความหลากหลายในเกมส์รุกเช่นเดียวกัน

2. แม็คโทมิเนย์ เจิดจรัส

นักเตะลูกหม้อชาวสก็อตแลนด์กลับมาเป็นตัวจริงด้วยการสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ธันวาคม) หลังจากที่เปิดหัวด้วยการใช้สัญชาตญาณที่เคยเป็นอดีตกองหน้าและมิลฟิลด์ตัวรุกสอดขึ้นมาทำ 2 ประตู ภายใน 3 นาทีแรกซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในพรีเมียร์ลีกที่สามารถทำแบบนี้ได้ นอกจากนี้เขาและคู่ขาในแดนกลางอย่างเฟร็ดก็ยังทำงานสอดผสานกันได้อย่างไร้ที่ติในการบดขยี้และแย่งบอลกลับมาจากแผงรุกของลีดส์อย่างดุดันโดยสิ่งที่น่าสนใจในเกมส์นี้คือแม็คโทมิเนย์มีอิสระในการเล่นเกมส์รุกอย่างเต็มที่เพราะด้วยความที่ลีดส์เป็นทีมที่เล่นเกมส์รุกเติมเกมส์สูง เวลาที่พวกเขาเสียบอลจะทำให้พื้นที่ด้านหลังโล่ง ดังนั้นจากปกติที่กองกลางผู้นี้คอยตัดบอลเชื่อมเกมส์ธรรมดาโซลชาได้ปลดล็อคความเป็นกองกลางบ๊อกซ์ทู บ๊อกซ์ของแม็คโทมิเนย์ด้วยการให้เขาสามารถพาบอลขึ้นไปข้างหน้าและเติมเกมส์รุกได้อย่างเต็มที่โดยมีเฟร็ดคอยคุมด้านหลังให้ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของ 1 แอสซิสต์ที่เขาจ่ายให้แดนเจมส์โฉบตัดหน้ากองหลังยูงทองเข้าไปยิงประตู ด้วยฟอร์มการเล่นดังกล่าวทำให้ รอย คีน อดีตกัปตันทีมปีศาจแดงชื่นชมว่านีเป็นเกมส์ที่แสนเพอร์เฟ็คสำหรับดาวเตะวัย 24 ปีผู้นี้และสนับสนุนให้กองกลางรายนี้ให้ขึ้นไปเติมเกมส์บุกต่อไปโดยเขากล่าวว่า “สำหรับการเป็นมิลฟิลด์ ถ้ามันมีพื้นที่ข้างหน้าคุณต้องวิ่งไปเติมทันที”ท้ายที่สุดแฟนบอลปีศาจแดงคงได้แต่ภาวนาให้แม็คโทมิเนย์ไม่เจ็บหนักมากนักหลังจากที่หนุ่มสก็อตรายนี้เจ็บจนต้องออกจากสนามในช่วงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

3. ลีดส์ ใช้โอกาสเปลือง แถมโดนยิงเยอะ

ถึงแม้จะได้รับการชื่มชมว่าเป็นทีมที่เล่นสนุกเอ็นเตอร์เทนแฟนบอล แต่ทีมของมาร์เซโล่ บิเอลซ่านั้นเป็นทีมที่พลาดโอกาสทองในการทำประตูเยอะที่สุดเป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกซึ่งจะสังเกตุได้จากเกมส์นี้เลยว่าเหล่าพลพรรคยูงทองมีโอกาสสับไกถึง 17 ครั้ง แต่เปลี่ยนได้เป็นแค่ 2 ประตูเท่านั้นโดยเฉพาะในรายของราฟินญาที่มีโอกาสส่องไปถึง 3 ครั้ง แต่โดนดาบิด เดอ เกอา ปฏิเสธทั้งหมด ในขณะที่แพคทริค แบมฟอร์ด ดาวซัลโวของทีมเองก็มีโอกาสหลุดไปยิงและโหม่งในช่วงครึ่งแรกแต่ก็ออกนอกกรอบไปหมดซึ่งก็ตอกย้ำความเป็นกองหน้าที่พลาดโอกาสทองเยอะสุดในลีกนอกเหนือจากเกมส์รุกที่ขาดความเฉียบคมแล้ว เกมส์รับก็เป็นสิ่งที่บิเอลซ่าต้องรีบแก้ไข้หลังจากลีดส์เป็นทีมที่เสียประตูเยอะที่สุดในลีกด้วยจำนวน 30 ประตูอีกทั้งยังเป็นทีมที่เสียประตูจากลูกตั้งเตะ (รวมจุดโทษ) มากกว่าทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 14 ประตูอีกด้วย ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ต้องมาเสียกองหลังกัปตันทีมอย่างเลียมคูเปอร์ไปอีกคนจากอาการเจ็บในระหว่างเกมส์กับปีศาจแดงซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็ต้องปวดหัวกับการเสียเซ็นเตอร์แบ็คไปแล้ว 2 คน อย่าง โรบินคอช กับ ดิเอโก้ ยอเรนเต้ ดังนั้นเราต้องมาดูกันต่อว่ากุนซือระดับปรมาจารย์ผู้นี้จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรหลังจากตอนนี้เขาก็หุบแบ็คขวาอย่างลุค อายลิ่ง มาเล่นตรงกลางแล้ว

4. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด …ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ?

หลังจากชัยชนะในเกมส์นี้ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเก็บชัยชนะในลีกได้ 6 จาก 7 นัดล่าสุดที่ลงสนามและส่งผลให้ทีมทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 3 ของตารางการแข่งขันนอกจากนี้ถ้าพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้ในนัดตกค้าง คะแนนก็จะจี้ลิเวอร์พูลเหลือแค่ 2 คะแนนทันที ดังนั้นเลยมีการพูดถึงทีมชุดนี้ว่าดีพอที่จะลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่หมดยุคเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แล้วหรือยัง โดย รอย คีน ให้ความเห็นในสกาย สปอร์ต ว่าถ้าอดีตสโมสรของเขาสามารถพัฒนาฟอร์มในบ้านได้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่แมนยูไนเต็ดจะก้าวไปจุดนั้นไม่ได้นอกจากนี้เขายังกล่าวเพิ่มอีกว่าส่วนตัวแล้ว เขายังมองลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ดีที่สุดในลีกแต่ทีมปีศาจแดงก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะมากดดันแชมป์เก่าได้เช่นเดียวกันในทางกลับกัน ไมกาส์ ริชาร์ดส์ อดีตกองหลังทีมแมนเชสเตอร์ ซิติ้ได้ให้ความเห็นในบีบีซีว่าถึงแม้ทีมของโอเล่กุนนาร์ โซลชา มีพัฒนาการที่ดีขึ้นและอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องก็จริงแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคั่วแชมป์ลีกได้เพราะทีมของโอเล่ยังขาดความสม่ำเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเกมส์รับที่ยังมีพลาดง่ายๆอยู่นอกจากนี้ริชาร์ดส์ยังตั้งคำถามว่าถ้าวันไหนโดนทีมมาตั้งรับทั้ง 11 ตัว ใน ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด โซลชาจะทำอย่างไรเพราะที่ผ่านมาดูเหมือนมันยังเป็นปัญหาสำหรับกุนซือชาวนอร์เวย์ที่ยังแก้ไม่ตกซักที

และนี่ก็เป็น 4 ประเด็นหลักๆที่ทันเกมนำมาฝากแฟนเพจทุกคนในวันนี้ถ้าทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับศึกสงครามแห่งดอกกุหลาบครั้งนี้ หรือ ถ้าทุกท่านมีความคิดเห็นว่าแมนยูไนเต็ดมีศักยภาพเพียงพอที่จะก้าวมาลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้หรือไม่ทุกท่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ในโพสเลยนะครับ

คุยหลังเกม วิเคราะห์เจาะลึกหลังเกม วิเคราะห์บอลพรีเมียร์ลีกประจำสัปดาห์ ผลบอลพรีเมียร์ลีก

support

support

แชร์เนื้อหา