วิเคราะห์หลังเกมส์ ทีมชาติอังกฤษ ปะทะ ทีมชาติโครเอเชีย ยูโร 2020 กลุ่มดี | TunGame
เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับทีมขวัญใจมหาชนอย่างทีมชาติอังกฤษ ที่สามารถเอาชนะ ทีมชาติโครเอเชีย รองแชมป์โลกปี 2018 ไปได้ด้วยประตูโทนของ ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกจากแมนเชสเตอร์ ซิติ้ ซึ่งชัยชนะในนัดนี้ถือเป็นการล้างแค้นขุนพลตราหมากรุกที่เอาชนะพวกเขาไปได้ในรอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลโลก ครั้งที่ผ่านมารวมถึงเป็นการเปิดหัวด้วยชัยชนะเป็นครั้งแรกของเหล่า ทรี ไลออนส์นับตั้งแต่เล่นในศึก ยูโร ดังนั้น ทันเกม อยากจะมาเจาะลึก 3ปัจจัยหลัก ที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษ คว้าชัยในแมทช์นี้ไปได้
1.การจัดตัวของแกเร็ธ เซาธ์เกต
ก่อนเกมส์การแข่งขันแฟนบอลส่วนใหญ่คงงวยงงไปตามๆ กันเมื่อเห็นไลน์อัพของ ทีมชาติอังกฤษ ในเกมส์นี้โดยจุดแรกคือการเอา คีแรน ทริปเปียร์ มาเล่นเป็นแบ็คซ้ายทั้งๆที่มีนักเตะฟอร์มดีในตำแหน่งนี้ถึง 2 คนได้แก่ ลุค ชอว์ จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเจ้าของตำแหน่งแบ็คซ้ายยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่ผ่านมาจากสื่อหลายสำนัก รวมถึง เบนชิลเวลล์ แบ็คซ้ายดีกรีแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก จาก เชลซี จุดที่สองคือการใช้ราฮีม สเตอร์ลิง ที่มีผลงานไม่ดีเลยในช่วงหลังกับต้นสังกัดอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิติ้มาเล่นในแผงเกมส์รุก ก่อนหน้านักเตะที่หลายคนเชียร์อย่าง แจ็ค กรีลิช
ถึงแม้ แกเร็ธเซาท์เกต จะสร้างความฉงนให้กับหลายคน แต่ท้ายที่สุดการจัดตัวของเขาก็ส่งผลให้ทีมชาติอังกฤษ คว้าชัยในนัดเปิดสนามของ ยูโร 2020 กลุ่มดีไปได้ เริ่มต้นจาก คีแรน ทริปเปียร์ ที่ถึงแม้เกมส์รุกจะดูตื้อๆตันๆไปบ้างแต่ประสบการณ์ที่เขามีในเกมส์ระดับนานาชาติก็ทำให้แผงหลังของอังกฤษดูนิ่งขึ้นนอกจากนี้การลงสนามของนักเตะ แอตเลติโก มาดริด ยังช่วยประคองให้ ไทโรน มิงส์เซ็นเตอร์ฮาล์ฝั่งซ้ายของทีมที่ลงเล่นในศึกเมเจอร์เป็นนัดแรกทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไปตามๆกันและนั่นก็ส่งผลให้ทีมสามารถเก็บคลีนชีทไปได้ในที่สุด ในขณะเดียวกัน ราฮีมสเตอร์ลิง ก็สามารถตอกกลับเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลหลายๆคน รวมถึงตอบแทนบุญคุณของแกเร็ธ เซาท์เกต ที่วางใจเขาให้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริง ด้วยประตูชัยในนาทีที่ 57 ซึ่งลูกยิงดังกล่าวน่าจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าตัวหลังจากนี่ถือเป็นประตูแรกที่ปีกวัย26 ปีทำได้ในรายการเมเจอร์ระดับนานาชาติ นอกจากนี้หลังจากทีมขึ้นนำ อดีตนักเตะของลิเวอร์พูล ก็ยังลงมาช่วยเล่นเกมส์รับแบกเบาภาระของ คีแรน ทริปเปียร์ ได้อีก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เขาได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมทช์ ในเกมส์นี้ไปครองจากผลงานในสนาม
2.กองกลางคู่ใหม่
สิ่งยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นในเกมส์นี้อีกหนึ่งอย่างคือการขึ้นมาของกองกลางสายเลือดใหม่ของทีมชาติอังกฤษ ที่สามารถต่อกรกับ แผงกลาง ทีมชาติโครเอเชีย ที่มีทั้ง ลูก้า โมดริช, มาเตโอ โควาซิช และ มาร์เซโล่ โบรโซวิช ได้อย่างอยู่หมัด
เริ่มต้นจากเดแคลน ไรซ์ มิลฟิลด์ของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ทำหน้าที่ปักหลักและปัดกวาดหน้าแผงหลังโดย ริโอ เฟอร์นานด์ อดีตกองหลัง ขุนค้อน และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ออกกล่าวชื่นชมกองกลางรุ่นน้องวัย 22 ปี ว่า“ผมขอชื่นชมความนิ่งของทีมในเกมส์นี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดแคลน ไรซ์ที่ยืนอยู่หน้าแผงแบ็คโฟร์และทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมจากการตัดลูกเปิดจากด้านข้างรวมถึงการยืนตำแหน่งที่ทำให้กองกลาง ทีมชาติโครเอเชียไม่สามารถลำเลียงบอลไปถึงด้านหน้าได้ง่ายๆ”
อีกหนึ่งมิลฟิลด์ที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้นั่นก็คือคาลวิน ฟิลลิปส์ที่ทำผลงานได้สะเด่ามากๆ ในตำแหน่งมิลฟิลด์ บ๊อกซ์ ทู บ๊อกซ์ เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาโดยเขามีส่วนทั้งในเกมส์รับและเกมส์รุกของทีม ไม่ว่าจะเป็นการแย่งบอล การเข้าปะทะ หรือแม้กระทั่งการลุ้นขึ้นไปทำประตูซึ่งผลงานที่เป็นรูปธรรมของกองกลางที่แฟนบอลเรียกว่า “ปีร์โล่แห่งยอร์คเชียร์” ในนัดนี้ก็คือการที่เจ้าตัวสอดทะลุขึ้นไปจ่ายให้ราฮีม สเตอร์ลิง ทำประตูตัดสินเกมส์ ดังนั้น จอร์แดน เฮนเดอร์สันมิลฟิลด์กัปตันทีม ลิเวอร์พูล ก็คงต่องหนาวๆร้อนๆ กับตำแหน่งตัวจริงหลังจากมิลฟิลด์ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ผู้นี้ ทำผลงานได้ดุดันดีเหลือเกิน
3.แทคติกเพื่อชัยชนะ
ถึงแม้ชัยชนะเหนือ ทีมชาติโครเอเชียในค่ำคืนที่ผ่านมา จะไม่ใช่ชัยชนะแบบสวยหรูแบบที่ทีมเต็งทีมอื่นอย่างทีมชาติอิตาลี หรือ ทีมชาติเบลเยียม ทำได้ แต่ต้องยอมรับว่าชัยชนะที่ทีมชาติอังกฤษ ได้มานั้นเกิดจากการแทคติกที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต วางไว้เพื่อเป็นผู้ชนะ อย่างแท้จริง
เริ่มต้นจากแผงหลังที่กุนซือวัย 50 ปีเลือกใช้ฟูลแบ็คที่มีประสบการณ์สูงในเกมส์ระดับนานาชาติอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ และ คีแรนทริปเปียร์ มาประจำการทั้งสองด้าน เหนือฟูลแบ็คที่มีความสดคนอื่นๆ เนื่องจากเขาต้องการความนิ่งในแผงหลังเพื่อจะต่อกรกับแผงเกมส์รุกของทีมตราหมากรุก ที่เล่นด้วยกันมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ เซาธ์เกต ยังใช้ เดแคลน ไรซ์ปักหลังหน้าแผงหลังอีกเพื่อเพิ่มความแน่นหนาในเกมส์รับ
ต่อมาหลังจากทีมได้ประตูขึ้นนำลูกทีมของ แกเร็ธเซาธ์เกต ก็เเล่นแบบรัดกุมขึ้นและอาศัยจังหวะโต้กลับซึ่งจะเห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนตัวมาร์คัส แรชฟอร์ด ลูกหม้อของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทน ฟิล โฟเด้น ยิ่งไปกว่านั้นเซาท์เกต กล้าที่จะเปลี่ยน แฮร์รี่ เคน กองหน้าดาวซัลโวของทีมออกและส่ง จู๊ดเบลลิ่งแฮม มิลฟิลด์วัยเพียงแค่ 17 ปี ลงมาเพื่อเอามาแพ็คเกมส์ตรงกลางให้แน่นและปิดเกมส์การแข่งขัน ท้ายที่สุดสิ่งที่ แกเร็ธเซาธ์เกต ตัดสินใจทั้งหมดในเกมส์ที่ผ่านมานั้นส่งผลให้ทีมชนะ
โดย แกรี่ เนวิลล์ คอมเมนเตเตอร์ชื่อดังได้ออกมากล่าวชื่นชมกุนซือผู้นี้ว่า “เซาธ์เกตถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของ ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งถึงแม้การตัดสินใจเขาจะทำให้คนส่วนใหญ่มองว่าไม่เข้าท่าบ้างแต่เขาเป็นคนที่เข้าใจนักเตะชุดนี้ดีกว่าใครทุกคนและเขาก็รู้วิธีการที่ทำให้ทีมได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าทุกคนด้วย”ดังนั้นเราก็ต้องมาตามดูกันต่อว่า แกเร็ธเซาธ์เกต จะเป็นคนที่พา ทีมชาติอังกฤษ ไปถึงฝั่งฝันและนำถ้วยรางวัลกลับไปประดับประเทศที่เป็นบ้านของกีฬาฟุตบอลได้หรือไม่ ? เราจะได้รู้กัน
support
แชร์เนื้อหา