รีวิว 3 ประเด็น หลังเกมส์ โคปา อเมริกา นัดชิงชนะเลิศระหว่าง ทีมชาติบราซิล กับ ทีมชาติอาร์เจนติน่า | TunGame
รีวิว 3ประเด็น หลังเกมส์โคปา อเมริกา นัดชิงชนะเลิศระหว่าง ทีมชาติบราซิล กับ ทีมชาติอาร์เจนติน่า
ทำได้ซักทีสำหรับทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่สามารถกลับมาคว้าแชมป์รายการเมเจอร์แรกในรอบ 28 ปี หลังเฉือนเอาชนะเจ้าภาพอย่าง ทีมชาติบราซิลคาถิ่นไป 0-1นอกจากนี้การคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาใต้ในครั้งนี้ยังส่งผลให้ลิโอเนล เมสซี่ ยอดดาวเตะวัย 34 ปี มีถ้วยรางวัลประดับในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกหลังจากรับใช้ทีมฟ้าขาวมานาน 16 ปีดังนั้น ทันเกมจึงจะอยากมาเจาะถึง 3 ประเด็นที่เกิดขึ้นหลังเกมส์ระหว่าง2 มหาอำนาจลูกหนังของแดนละตินอเมริกาและของโลกกัน
1.ฟ้าขาววินัยดี เกมส์รับเยี่ยม
ต้องชื่มชมเลยว่าในระหว่างเกมส์การแข่งขันผู้เล่นอาร์เจนติน่าสามารถเล่นตามแท็คติกที่กุนซืออย่าง ลิโอเนล สกาโลนี่วางไว้ก็คือเล่นอย่างอดทน มีวินัย และรอฉวยโอกาสในจังหวะที่ขุนพลแซมบ้าเผลอได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งส่งผลให้ทีมฟ้าขาวเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก ทีมชาติอุรุกวัย ที่ยัดเยียดความปราชัยให้ทีมชาติบราซิล ในสนามระดับตำนานอย่างมาราคาน่าได้ในเกมส์อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปี1950
ไล่ตั้งแต่เกมส์รับซึ่งนำโดยปราการหลังรุ่นเก๋าอย่างนิโคลัส โอตาเมนดี้ ที่ในวันนี้ไม่ออกอาการเหวอให้เห็นและสามารถบัญชาการเกมส์รับได้อย่างไม่มีที่ติอีกหนึ่งคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือแบ็คขวาจากสโมสร ริเวอร์ เพลท อย่าง กอนซาโล่มอนเทียล ที่ถึงแม้จะแต่งตัวเรียบร้อยแต่วิธีการเล่นก็ไม่ได้เรียบร้อยตามเพราะเล่นได้อย่างดุดันและนิ่งมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังที่ทางทีมชาติบราซิล เน้นเจาะทางเขา
ขึ้นมาที่กองกลางซึ่งคนที่เด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นโรดริโก เดอ ปอล โดยในเกมส์นี้เขาเล่นได้อย่างครบเครื่องทั้งรับและรุก ไม่ว่าจะเป็นการตัดเกมส์รุกของบราซิลได้อย่างหนักหน่วงการคุมจังหวะเกมส์โดยออกบอลให้ทีมได้เปรียบตลอด 90 นาที รวมถึงยังเป็นคนวางบอลสุดสวยให้กับ อังเคลดิ มาเรีย หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามหัว เอแดร์ซอน เป็นประตูชัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแอตเลติโก มาดริด จึงเตรียมคว้าตัวดาวเตะวัย 27 ปีผู้นี้ ด้วยค่าตัวประมาณ 35 ล้านยูโร
ท้ายที่สุดถึงแม้ ทีมชาติอาร์เจนติน่า จะมีสมาธิหลุดไปบ้าง แต่คนที่ทำให้ทีมยังอยู่ในเกมส์ได้ก็คือผู้รักษาประตูอย่างเอมิเนียโล่ มาร์ติเนซ ที่เซฟ 2 ลูกยิงสำคัญของริชาร์ลิซอน รวมถึง กาบิโกล ในช่วงครึ่งหลังไปได้ ซึ่งฟอร์มทั้งฤดูกาลของเขากับแอสตัน วิลล่า และกับทีมฟ้าขาวในทัวร์นาเมนท์นี้น่าจะทำให้แฟนบอล อาร์เซน่อล รวมถึงมิเกล อาร์เตต้า คงต่างเสียดายที่ปล่อยเขาออกจากทีม
2.แซมบ้าเกมส์รุกตื้อ ขาดความหลากหลาย
ก่อนเริ่มเกมส์ทีมชาติบราซิล พกสถิติด้วยการเป็นทีมที่ยิงเยอะที่สุดในทัวร์นาเมนท์ด้วยจำนวน 12ประตู และยังเป็นทีมที่ยิงประตูได้ทุกนัดร่วมกับทีมชาติอาร์เจนติน่า อย่างไรก็ตามเกมส์ที่ขุนพลแซมบ้าพลาดยิงไม่ได้เกมส์เดียวก็ดันมาเป็นเกมส์นัดสำคัญที่สุดซึ่งทำให้พวกเขาพลาดการป้องกันแชมป์ในปีนี้ไป
โดยสาเหตุแรกที่ทำให้พวกเขายิงไม่ได้เกิดจากการเล่นบอลหนักของพลพรรคฟ้าขาวที่พยายามไล่เตะหยุดแผงเกมส์รุกแดนกาแฟตลอดทั้งเกมส์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่านักเตะอย่าง ลูคัส ปาเกต้าที่ทำประตูชัยให้กับบราซิลได้ในรอบน็อคเอาท์ทั้ง 2 แมทช์ เล่นไม่ออกเลยในเกมส์นี้ เพราะเจ้าตัวดูหงุดหงิดกับการเล่นติดดาบของนักเตะอาร์เจนติน่าและทำให้เขาไม่สามารถลิงค์การเล่นร่วมกับเนย์มาร์ ได้เหมือนในเกมส์ก่อนๆ
นอกจากนี้อีกหนึ่งสาเหตุที่เจาะประตูไม่ได้คือการเข้าทำของที่ไม่มีความหลากหลายโดยครึ่งแรกขุนพลเซเลเซาดูจะพึ่งความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนย์มาร์ในการสร้างเกมส์รุกมากไปหน่อย ต่อมาในครึ่งหลัง ถึงแม้ผู้จัดการทีมอย่าง ตีเต้จะเพิ่มตัวรุกทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, กาบิโกล และ วินิซิอุส จูเนียร์เข้ามาแต่เกมส์รุกของ ทีมชาติบราซิล ดูจะเน้นเจาะไปทางฝั่งซ้ายอย่างเดียว ซึ่งการเล่นที่จำเจก็ทำให้คู่แข่งจับทางได้และทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ไปในที่สุด
3.เมสซี่ได้… เนย์มาร์อด
คนละอารมณ์จริงๆเมื่อสิ้นสุดเสียงนกหวีดการแข่งขันที่สนามมาราคาน่าระหว่าง 2 นักเตะ ที่ดีที่สุดในโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่กับ เนย์มาร์
โดยในฝั่งของพ่อมดชาวอาร์เจนไตน์นั้นถึงแม้ผลงานในนัดชิงชนะเลิศจะค่อนข้างเงียบแถมพลาดยิงประตูฝังบราซิลในช่วงท้ายเกมส์แต่ด้วยผลงาน 4 ประตู กับ 5แอสซิสต์ ก็ยังทำให้เขาเป็น เดอะ แบกพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรวมถึงคว้ารางวัลดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ไปครองนอกจากนี้การคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา ก็คงเป็นการทำให้ ลิโอเนล เมสซี่นอนตายตาหลับซักทีหลังโดนคำครหามานานว่าไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับทีมชาติซึ่งการที่เจ้าตัวคุกเข่าลงไปกับพื้นหลังจบเกมส์ก็เป็นการบ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความดีใจและภูมิใจในการพาชาติของตัวเองประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ
ในขณะที่อีกฝากเนย์มาร์ ยังคงต้องรอความสำเร็จในรายการฟุตบอลระดับนานาชาติต่อไป โดยจะเห็นได้ชัดจากในเกมส์นี้ว่าดาวเตะจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมงพยายามอย่างสุดความสามารถในการเลี้ยงตะลุย สร้างสรรค์โอกาสให้กับทีมแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมกลับมาตีเสมอหรือแซงชนะทีมของ ลิโอเนลเมสซี่ ได้ ซึ่งน้ำตาที่ไหลออกมาหลังจบเกมส์ก็แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังที่เขาไม่สามารถช่วยชาติของเขาให้หลุดพ้นจากความพ่ายแพ้ไปได้
อย่างไรก็ตามเราก็ได้เห็นภาพความสวยงามของวงการฟุตบอลอีกครั้งหลังจากที่ดาวเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกสลัดคราบน้ำตาและเดินเข้าไปแสดงความยินดีกับลิโอเนล เมสซี่ ที่สามารถคว้าแชมป์ในระดับชาติได้เป็นครั้งแรกซึ่งการเข้าไปแสดงความยินดีของ เนย์มาร์ คงเป็นการกระทำแทนสิ่งที่แฟนบอลทั่วโลกส่วนใหญ่อยากทำเช่นกันนั่นก็คือการเข้าไปแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกฟุตบอลปัจจุบันด้วยคำว่า“ดีใจด้วยนะ ทำได้ซักที”
support
แชร์เนื้อหา