วิเคราะห์หลังเกมส์ ทีมชาติโปรตุเกส ปะทะ ทีมชาติเยอรมัน ยูโร 2020 กลุ่มเอฟ | TunGame

หากอยากจะรอดจากรุ๊ปออฟเดธ ทีมชาติเยอรมันต้องชนะสถานเดียว

หลังจาก ทีมชาติฝรั่งเศส เก็บได้ 4 คะแนนจาก 2 แมตช์แรกในศึกยูโร2020 ทำให้การลุ้นเข้ารอบต่อไปของกลุ่มเอฟน่าสนุกขึ้นมาทันที โดยเกมระหว่าง ทีมชาติโปรตุเกสกับ ทีมชาติเยอรมัน ถือเป็นอีกหนึ่งนัดสำคัญสำหรับกลุ่มแห่งความตายประจำศึก ยูโร 2020โดยทีมแดนฝอยทองเปิดหัวแมตช์แรกได้อย่างร้อนแรง ด้วยการบุกชนะทีมชาติฮังการีไป 0-3 ถึงแม้จะตึงเครียดตลอดทั้งเกมและมาได้ทั้ง3ประตูในช่วงท้ายทำให้ความกดดันในนัดนี้ของ ทีมชาติโปรตุเกส อาจมีไม่มากเท่าทีมของ โยอาคิม เลิฟ ที่นัดแรกนั้นพ่ายต่อทีมชาติฝรั่งเศสมาซึ่งต้องบอกว่าเป็นแมตช์ที่ ปอล ป็อกบา กองกลางของทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมดังนั้น ทีมชาติเยอรมัน จะต้องชนะสถานเดียว เพื่อลุ้นผ่านเข้ารอบต่อไป ซึ่งถ้าหากแพ้ในนัดนี้โอกาสที่จะได้เข้ารอบน็อคเอาท์ ยูโร 2020 ในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม หรือ อันดับ 3 ที่ดีที่สุดก็จะริบหรี่ลงทันที

โปรตุเกสเน้นรับแน่น เยอรมันเน้นค้ำสูง

เกมในนัดนี้ เฟร์นานโด ซานโตส ผู้จัดการทีม ชาติโปรตุเกส ยังคงเลือกใช้นักเตะชุดเดิมที่ใช้ในนัดแรกรวมถึงคู่กลางทั้งวิลเลียม คาร์วัลโญ่ และ ดานิโล่ เปเรย์ร่า โดยถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนจะไม่สามารถขึ้นเกมบุกได้อย่างสร้างสรรค์แต่ก็สามารถคุมภาพรวมได้อย่างดีเยี่ยมและเลือกให้รุ่นพี่มากประสบการณ์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 36 ปีค้ำในแดนหน้าส่วน โยอาคิม เลิฟ กุนซือทีมชาติเยอรมันที่ต้องการชัยชนะในนัดนี้ มาในแผนเดิม3-4-2-1 ที่เลือกใช้ปราการหลัง 3 ตัว อย่าง มัทส์ฮุมเมิลส์, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ มัทธีอัส กินเตอร์ ในขณะที่ใช้วิงแบ็คทั้งสองข้างอย่างโยชัว คิมมิช และ โรบิน โกเซนส์ เพื่อเน้นเติมเกมบุก

ฝอยทองนำก่อน แต่โดนเยอรมันบี้จนเป๋

เกมในนัดนี้ ทีมชาติเยอรมัน ครองเกมได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ในนาทีแรกของการแข่งขันโดยเน้นเจาะเกมทางด้านข้าง ในขณะที่ โปรตุเกส ก็เน้นรับในแดนตัวเอง ไม่บีบไล่บอล และรอจังหวะใช้เกมสวนกลับเร็วในการโจมตีการขึ้นเกมรุกของ เยอรมัน ได้ผลเป็นอย่างมากเพราะการที่ให้วิงแบ็คทั้งซ้ายขวาค้ำอยู่บริเวณกรอบเขตโทษของทีมฝั่งตรงข้ามทำให้สามารถตัดเกมสวนกลับเร็วของทางโปรตุเกส ได้ นอกจากนี้แทคติกที่ว่ายังเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เล่นของ ทีมอินทรีเหล็กในกรอบเขตโทษของ โปรตุเกส อีก ซึ่งส่งผลให้ ทีมชาติเยอรมัน ได้ประตูจากวิธีการเล่นแบบนี้ถึง3 ประตู ไล่ ตั้งแต่นาทีที่ 5 แต่โดน VAR จับล้ำหน้าไป และอีก 2 ประตู ในนาทีที่35 และ 39 จากการทำเข้าประตูตัวเองของผู้เล่นแดนฝอยทอง

ทีมชาติโปรตุเกส มีโอกาสได้ประตูจากการตัดเกมที่ผิดพลาดของ เยอรมัน เหมือนกันซึ่งการมีรุ่นพี่ใหญ่อย่าง CR7 ค้ำในแดนหน้า ทำให้เกมสวนกลับของ โปรตุเกส อันตรายเป็นอย่างมากจนกระทั่งสามารถขึ้นนำได้ก่อนในนาทีที่ 19 จากการวางบอลยาวของ แบร์นาโด้ ซิลวากองกลางจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ ดีโอโก้ โชต้า และจบที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ซัดเข้าไป อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วิธีตั้งรับและสวนกลับของเฟร์นานโด ซานโตสกุนซือทีมชาติโปรตุเกส ก็ไม่ได้ผลซะทีเดียว เนื่องจากแนวรับของโปรตุเกสนั้นรับลึกอยู่บริเวณเส้นกรอบเขตโทษตัวเองส่งผลให้ผู้เล่นเยอรมันมีพื้นที่ในการเข้าทำ ซึ่งการตัดสินใจของกุนซือวัย 66 ปีที่เลือกใช้วิธีการเล่นแบบนี้ ก็ทำให้ทีมของเขาโดนตีเสมอและขึ้นนำในช่วงท้ายของครึ่งแรก

เมืองเบียร์อย่างเคี่ยว นำห่างแล้วปิดเกม

โยอาคิม เลิฟ ยังเลือกใช้แผนการเล่นแบบเดิมในครึ่งหลัง แม้จะนำอยู่2-1 คือบีบเร็วตั้งแต่แดนหน้า และบุกทางด้านข้าง เช่นเดียวกับ โปรตุเกส ที่แม้จะแก้เกมด้วยการเปลี่ยนเรนาโต้ ซานเชส ลงมาทำหน้าที่ปั้นเกมแทน แบร์นาโด้ ซิลวา แต่ก็ยังไม่บีบไล่บอลสูงหรือพยายามต่อบอลเพื่อเจาะแผงรับเยอรมัน โดยเปิดครึ่งหลังมาไม่นานนัก ทีมอินทรีเหล็กก็มาได้ 2 ประตู ดับความหวัง ทีมชาติโปรตุเกส อย่างรวดเร็ว จากการเข้าทำของ โรบิน โกเซนส์และ ไค ฮาแวร์ทช์ ถึงแม้กองหน้าจาก ลิเวอร์พูล อย่าง ดีโอโก้ โชต้า จะมาทำประตูตีตื้นให้โปรตุเกส ตามมาเป็น 4-2 แล้ว แต่ เยอรมัน ก็สามารถปิดเกมได้ด้วยการเล่นรับแบบไม่ไล่บอลมากเพื่อไม่เปิดช่องให้ โปรตุเกส เจาะได้ รวมถึงไม่บุกผลีผล่าม และโรเตชั่นนักเตะในแดนกลางลงมาเพื่อเน้นการครองบอลและเผาเวลาจนจบเกม

โกเซนส์เด่นเกินใคร พาเยอรมันลุ้นต่อนัดท้าย

วิงแบ็คซ้ายวัย 26 ปี จากอตาลันต้า ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้แผนของ โยอาคิมเลิฟ มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง ซึ่งทั้ง 4 ประตู ที่ เยอรมัน ทำได้นั้นเขามีส่วนร่วมด้วยทั้งสิ้น นอกจากแผนของ ทีมชาติเยอรมัน ที่ให้วิงแบ็คมากดดันคู่แข่งสูงแล้วอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือมิดฟิลด์ตัวกลางของ ทีมชาติโปรตุเกส ไม่สามารถต่อบอลสร้างสรรค์เกมรุกได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ทีมต้องการบุกเพื่อเอาประตูคืนซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าโอกาสทั้งหมดที่ได้เกิดจากการวางบอลยาวหรือลูกตั้งเตะทั้งสิ้น ท้ายที่สุดจากชัยขนะดังกล่าวได้เป็นการพลิกวิกฤติให้กับ ทีมชาติเยอรมันกลับมามีลุ้นเข้ารอบอีกครั้งด้วยแผนการเล่นของกุนซือวัย 61 ปีและฟอร์มเทพของโรบิน โกเซนส์

support

support

แชร์เนื้อหา