วิเคราะห์สถานการณ์ไล่ล่าตั๋ว 2 ใบสุดท้ายสำหรับเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า | TunGame
เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วสำหรับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้ซึ่งไฮไลท์ประจำท้ายฤดูกาลก็คงจะหนีไม่พ้นการแย่งชิงพื้นที่อันดับ 3 และ 4 เพื่อไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้าซึ่งมีถึง 4 ทีม (จริงๆมี ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์และเอฟเวอร์ตันอีก 2 ทีมแต่ค่อนข้างเป็นไปได้ยากมากๆแล้วในเชิงปฏิบัติ) ที่มีลุ้นตั๋ว 2 ใบสุดท้ายนี้อยู่ ดังนั้นทันเกมจึงอยากจะมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และความเป็นไปได้ว่า 2 สโมสรไหนจะตาม 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ในการคว้าสิทธิ์ไปแข่งขันชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ
อันดับที่ 3: เลสเตอร์ ซิติ้ (66 คะแนน)
โปรแกรมที่เหลือ: เชลซี (เยือน), ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ (เหย้า)
หายใจโล่งขึ้นมาทีเดียวสำหรับจิ้งจอกสยามหลังได้รับอานิสงค์จากโปรแกรมที่แน่นเอี๊ยดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซึ่งทำให้พวกเขาบุกไปเอาชนะปีศาจแดงชุดสำรองได้ 1-2 อย่างไรก็ตามเลสเตอร์ก็ยังประมาทไม่ได้กับ 2 เกมส์สุดท้ายที่ต้องเจอกับทีมในกลุ่มท็อป 7 ทั้งหมดรวมถึงถูกคั่นกลางด้วยโปรแกรมเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศกับเชลซีซึ่งอาจจะเป็นตัวกำหนดโมเมนตัมที่สำคัญให้กับเกมส์ลีก 2 นัดสุดท้ายของพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของกุนซืออย่างแบรนดอน ร็อดเจอร์สที่จะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเขาสามารถก้าวผ่านวังวนเดิมๆและกลายมาเป็นกุนซือระดับท็อปของลีกได้แบบเต็มตัวเพราะต้องอย่าลืมว่ากุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือเคยมีประวัติหลอนๆในช่วงท้ายฤดูกาลโดยเขาพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2013/2014 แบบตกม้าตายไปเองและทำให้เลสเตอร์พลาดโควต้ายูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลที่แล้วไปแบบดื้อๆหลังจากอยู่ใน 4 อันดับแรกมาเกือบตลอดทั้งฤดูกาล
อันดับที่ 4: เชลซี (64 คะแนน)
โปรแกรมที่เหลือ: อาร์เซน่อล (เหย้า), เลสเตอร์ ซิติ้ (เหย้า), แอสตัน วิลล่า (เยือน)
โอกาสค่อนข้างสดใสสำหรับพลพรรคสิงส์บลูในการเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้าหลังจากมีแต้มนำอันดับ 5 อย่างเวสต์แฮม ยูไนเต็ดอยู่ 6 คะแนนและเหลือการแข่งขันอยู่เพียง 3 นัด ซึ่งถึงแม้ว่าโปรแกรมของเชลซีจะค่อนข้างหนักโดยเฉพาะใน 2 นัดถัดไปที่ต้องเจอกับอาร์เซน่อลและคู่แข่งแย่งท็อป 4 โดยตรงอย่างเลสเตอร์ ซิติ้ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมนับตั้งแต่โธมัส ทูเคิ่ลเข้ามาคุมทีมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเกมส์รับที่เก็บคลีนชีทได้ถึง 11 จาก 16 นัดในลีก รวมถึงความยอดเยี่ยมของเมสัน เมาท์และการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ 2 นักเตะดูโอ้ชาวเยอรมันอย่างติโม แวร์เนอร์และไค ฮาแวร์ทช์ในแผงเกมส์รุกก็น่าจะช่วยประคองให้เชลซีได้เข้าไปเล่นในศึกชิงถ้วยใหญ่ของทวีปยุโรปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
อันดับที่ 5: เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (58 คะแนน)
โปรแกรมที่เหลือ: ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน (เยือน), เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (เยือน),เซาแธมป์ตัน (เหย้า)
ทีมม้ามืดในการแย่งโควต้าไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้าคงต้องเร่งกลับมาทำผลงานให้ดีขึ้นอีกครั้งในช่วง 3 นัดที่เหลือหลังจากฟอร์มสะดุดด้วยการแพ้ไปถึง 3 จาก 5 นัดล่าสุด ซึ่งถึงแม้โปรแกรมของขุนค้อนจะดูไม่ยากนักแต่ด้วยความกดดันที่ควรจะต้องเก็บ 3 แต้มให้ได้ทุกเกมส์ที่เหลือรวมถึงจำนวนนักเตะบาดเจ็บโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแดนกลางที่เหลือเพียงแค่โธมัส ซูเช็คที่เป็นกองกลางเชิงรับเพียงคนเดียวก็ยิ่งเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับทีมในการทำอันดับเข้าไปอยู่ใน 4 อันดับแรก ดังนั้นกุนซืออย่างเดวิด มอยส์คงต้องโชว์ศักยภาพของตัวเองแบบเต็มที่ในช่วงโค้งสุดท้ายเพื่อพาเวสต์แฮมเข้าไปเล่นในรายการฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ซึ่งถ้าทำได้อดีตกุนซือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็จะสร้างประวัติศาตร์เป็นกุนซือคนแรกที่พาทีมขุนค้อนเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกและคงเป็นการคว้าโควต้าชนิดหักปากกาเซียนเหมือนกับตอนที่เขาคุมเอฟเวอร์ตันไปลุยรายการดังกล่าว
อันดับที่ 6: ลิเวอร์พูล (57 คะแนน)
โปรแกรมที่เหลือ: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน), เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (เยือน), เบิร์นลี่ย์ (เยือน), คริสตัล พาเลซ (เหย้า)
ถือเป็นฤดูกาลที่ล้มเหลวสำหรับทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ก็ว่าได้หลังจากเป้าหมายเดียวของแชมป์เก่าในฤดูกาลนี้เหลือเพียงแค่การต่อสู้เพื่อคว้าสิทธิ์ไปลุยในศึกฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปในฤดูกาลหน้าเท่านั้น นอกจากนี้การจัดตัวและผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นที่โอล์ด แทรฟฟอร์ดในค่ำคืนวันอังคารที่ผ่านมาก็ไม่เป็นใจให้พวกเขาเท่าไหร่นัก ดังนั้นเกมส์ตกค้างกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเป็นเกมส์ที่สำคัญที่สุดสำหรับลิเวอร์พูลในการต่อลมหายใจเพื่อต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งท็อป 4 ต่อไป ซึ่งถ้าหากผลการแข่งขันในศึกแดงเดิอดครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี โอกาสของหงส์แดงในการชิงตั๋วยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกก็จะเปิดกว้างขึ้นทันทีเพราะต้องยอมรับว่าโปรแกรมการแข่งขันในช่วง 3 นัดสุดท้ายของพวกเขานั้นง่ายกว่าคู่แข่งแย่งท็อป 4 ทีมอื่นและน่าจะเก็บชัยชนะได้หมดถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด สุดท้ายเราก็ต้องมาดูว่าเหล่าขุนพลหงส์แดงและเจอร์เก้น คล็อปป์จะสามารถพาตัวเองให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายที่เหลืออยู่นี้ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าทำไม่ได้มันก็คงเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุดของลิเวอร์พูลนับตั้งแต่กุนซือชาวเยอรมันเข้ามาคุมบังเหียนเลยทีเดียว
support
แชร์เนื้อหา