จิม แม็คคลีน …ชายที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยกย่อง | TunGame

“ถ้าในอังกฤษ แน่นอนคู่แข่งของผมก็คงเป็น โจเซ่มูรินโญ่ อาร์แซน เวนเกอร์ หรือไม่ก็ ราฟาเอล เบนิเตซ แต่เชื่อผมซิคู่แข่งตัวเป้งที่สุดของผมในวงการฟุตบอลก็คือ จิม แม็คคลีน” นี่คือคำพูดที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือระดับตำนานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกล่าวถึงจิม แม็คคลีนหลังจากอดีตคู่ต่อสู้และเพื่อนรักของเขาเสียชิวิตลงในวันบ็อกซิ่งเดย์ที่ผ่านมาด้วยวัย 83 ปี แน่นอนคงมีแฟนบอลชาวไทยส่วนน้อยเท่านั้นที่น่าจะรู้จักเขาดังนั้นทันเกมจึงอยากมาเล่าประวัติและความยอดเยี่ยมของชายผู้ซึ่งได้รับการสรรเสริญจากอดีตสุดยอดกุนซือของทีมปีศาจแดงกัน

  1. ทั้งชีวิตอุทิศให้ดันดี ยูไนเต็ด

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลในปี 1970 และกลายมาเป็นสต๊าฟโค้ชให้ทีมคู่แข่งร่วมเมืองอย่างดันดี เอฟซี แม็คคลีนก็ได้มีโอกาสเข้ามาคุมดันดี ยูไนเต็ดในช่วงเดือนธันวาคม ปี 1971ด้วยวัยเพียง 34 ปี หลังจากนั้นเขาใช้เวลาทั้งหมด 22 ปีในการคุมทีมในถิ่นแทนนาไดซ์ พาร์คเพียงทีมเดียวและลงจากตำแหน่งกุนซือในปี 1993

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังควบตำแหน่งผู้อำนวยการและประธานสโมสรตั้งแต่ปี 1988 ซึ่งนั่นก็ทำให้แม็คคลีนรับงานถึง 3 ตำแหน่งในช่วงระยะเวลา5 ปีสุดท้ายของการคุมทีมโดยถึงแม้ว่าจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1993 แล้วอดีตกุนซือชาวสก็อตแลนด์ผู้นี้ก็ยังคงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและประธานสโมสรต่อไปจนถึงปี 2000 ที่เขาลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่งหลังจากที่เขาไปฟาดปากผู้สื่อข่าวบีบีซีในช่วงสัมภาษณ์หลังเกมส์ที่ทีมของเขาพ่ายคาบ้านต่อฮาร์ทส์ไป 0-4

ซึ่งนั่นก็ถือเป็นการปิดฉากการทำงาน 29 ปีของแม็คคลีนกับดันดี ยูไนเต็ดนอกเหนือจากนี้ถึงแม้ว่าจะมีข้อเสนอจากสโมสรต่างๆที่อยากได้เขาไปคุมทีมตลอดระยะเวลาที่เขาทำงานในถิ่น แทนนาไดซ์ พาร์ค จิม แม็คคลีนก็ตอบปฏิเสธไปหมดเพราะเขาเคยกล่าวว่าเขาไม่สามารถไปคุมทีมอื่นได้ถ้าไม่ใช่ดันดียูไนเต็ด

  1. ผู้เขย่าวงการฟุตบอลสก็อตแลนด์ร่วมกับ(เซอร์) อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่จิม แม็คคลีนคุมทีมดันดี ยูไนเต็ดเขาได้สร้างทีมจากเทย์ไซด์ให้กลายเป็นทีมที่ขึ้นมาทาบรัศมีสองทีมยักษ์ใหญ่ของสก็อตแลนด์อย่างกลาสโกว์เชลติก และ กลาสโกว์ เรนเจอร์สได้อย่างอย่างเต็มภาคภูมิ โดยความสำเร็จแรกที่แม็คคลีนเสกให้ดันดียูไนเต็ดก็คือถ้วยลีกคัพในปี 1979

ซึ่งคนที่เขาเอาชนะในรอบชิงชนะเลิศก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คืออเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (สมัยยังไม่เป็นท่านเซอร์) ในยุคที่คุมอเบอร์ดีนนั่นเอง ปีต่อมาเขาก็สามารถพาทีมป้องกันแชมป์นี้ได้อีกครั้งโดยถล่มคู่อริร่วมเมืองอย่างดันดีเอฟซีไป 3-0 ในที่สุดดันดี ยูไนเต็ดภายใต้การคุมบังเหียนของจิมแม็คคลีนก็เดินทางมาถึงจุดสูงสุดในฤดูกาล 1982-1983

โดยพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสรด้วยการชนะคู่อริตลอดกาลอย่างดันดีเอฟซี (อีกแล้ว) ในวันสุดท้ายของการแข่งขันซึ่งส่งผลให้พวกเขามีแต้มมากกว่ากลาสโกว์เชลติกและอเบอร์ดีน 1 คะแนน

ส่วนที่น่าสนใจก็คือฤดูกาลนั้นถือเป็นฤดูกาลที่แม็คคลีนและเฟอร์กูสันพาทีมของตัวเองขึ้นมาท้าทายขั้วอำนาจของสองทีมจากกลาสโกว์อย่างเต็มตัวหลังจากที่เฟอร์กูสันก็สามารถพาอเบอร์ดีนคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปีนั้นด้วยการคว่ำโคตรทีมอย่างรีล มาดริด

นอกจากจะประกาศศักดาในลีกแล้ว แม็คคลีนยังพาดันดียูไนเต็ตสร้างปรากฏการณ์บนเวทียุโรปได้อีกด้วยโดยในฤดูกาล 1983-1984 ทีมของเขาสามารถตะลุยไปถึงรอบรองชนะเลิศศึกยูโรเปี้ยนคัพหรือยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกในปัจจุบันแต่สุดท้ายดันไปพลาดท่าพ่ายโรม่าในการเล่นแบบไปกลับด้วยสกอร์รวม 2-3 โดยในนัดแรกพวกเขาเล่นในบ้านเอาชนะทีมหมาป่าแห่งกรุงโรมไปถึง 2-0

ดังนั้นถ้าไม่พลาดกันเองในนัดที่สองพวกเขาคงได้เข้าไปเจอกับแชมป์ในฤดูกาลนั้นอย่าง ลิเวอร์พูล ไปแล้ว นอกจากนี้ในฤดูกาล 1986-1987 แม็คคลีนก็สามารถพาดันดียูไนเต็ดเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศของศึกยูฟ่าคัพหรือยูโรป้า ลีกในปัจจุบันแต่ก็ต้องอกหักอีกครั้งหลังจากแพ้โกเตนเบิร์กในการเล่นแบบเหย้า-เยือนเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเรื่องราวการผจญภัยบนเวทียุโรปของดันดียูไนเต็ด ส่งผลให้แม็คคลีนได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศของวงการลูกหนังสก็อตแลนด์ในปี 2005

  1. จิมแม็คคลีน…สุดยอดนักจิตวิทยาและผู้นำเทรนด์ก่อนกาลเวลา

เมาริซ มอลปาสและแฮมิชแม็คอัลไพน์อดีตสองนักเตะดันดี ยูไนเต็ดในยุคของแม็คคลีนกล่าวถึงเจ้านายของพวกเขาว่า “แม็คคลีนมีวิธีการที่ทำให้เรากระหายอยากลงเล่นและพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเช่นเขาไม่เคยชมพวกเราว่ายอดเยี่ยม

แต่จะพูดในเชิงว่าพวกคุณเล่นโอเคนะและจะตามมาด้วยคำว่า “แต่”ตลอดเวลาพร้อมคำแนะนำเพื่อจะให้เรารู้ว่าต้องพัฒนาตนเองในจุดไหนยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขารู้สึกว่าเราชะล่าใจเมื่อคิดว่าตัวเองเล่นดีเขาจะขู่เราทันทีเพื่อไม่ให้เราหยิ่งผยองไปกับผลงาน ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อความสมบูรณ์แบบของทีม”

นอกจากเรื่องจิตวิทยาแล้ว อดีตนักเตะทั้งสองยังได้เล่าถึงความส้ำสมัยในการทำงานของกุนซือชาวสก๊อตติชผู้นี้ว่า“เจ้านายเป็นคนที่มองการณ์ไกลมากโดยอันที่จริงเขาเป็นคนแรกที่นำเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬารวมถึงการควบคุมโภชนาการอาหารมาใช้กับสโมสร

ตั้งแต่ข่วงกลางทศวรรษที่ 80 แต่ในสมัยนั้นเรื่องเหล่านี้ยังถูกมองว่าเป็นเรื่องตลกอยู่อีกทั้งเขายังเป็นคนแรกที่พวกเราเห็นว่ามีจานดาวเทียมซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถชมเกมส์และศึกษาแทคติกฟุตบอลที่เล่นในอเมริกาใต้ได้” ส่วนอีกเรื่องที่ถือเป็นนวัตกรรมทางฟุตบอลที่แม็คคลีนคิดค้นก็คือในช่วงแรกที่เขาคุมทีมดันดียูไนเต็ด

เขาใช้การให้โบนัสตามผลงานที่นักเตะสามารถทำได้เป็นการดึงดูดนักเตะที่เขาต้องการให้ย้ายมาร่วมทีมซึ่งก็ประสบผลสำเร็จโดยนักเตะหลายๆคนที่เขาดึงมาก็เติบโตเป็นกำลังของทีมชาติสก็อตแลนด์ในเวลาต่อมาเช่น เมาริซ มอลปาส เป็นต้น

และทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า “จิม แม็คคลีน” ชายผู้ครั้งนึงเคยเป็นคู่ต่อกรระดับตัวฉกาจของกุนซือระดับปรมาจารย์อย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และทำให้ทีมเล็กๆอย่างดันดียูไนเต็ดก้าวเข้าไปสู่ทำเนียบทีมที่ดีสุดในสก็อตแลนด์ในช่วงเวลาที่เขาคุมทีม

support

support

แชร์เนื้อหา