หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ซิติ้ ออกสตาร์ทได้ไม่ดีนักด้วยการเก็บได้แค่ 8 แต้มจาก 6 นัดแรกของฤดูกาลซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่กุนซืออัจฉริยะอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมทีม
เหล่าขุนผลเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิติ้ ก็เริ่มเร่งเครื่องและกลับมาสู่เส้นทางที่พวกเขาควรจะเป็นอีกครั้งหลังจากที่ไม่ปราชัยอีกเลยนับตั้งแต่พบกับ สเปอร์ส ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
เพราะเหตุใดลูกทีมของเป๊ปจึงสามารถกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งหลังจากก่อนหน้านี้บางคนถึงขนาดกาชื่อแมนซิตื้ออกจากสารบบลุ้นแชมป์ไปแล้ว
1. ความไม่ดื้อรั้นของเป็ป กวาร์ดิโอล่า ในสนามการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก
เป็นที่รู้กันดีว่าสุดยอดกุนซือชาวสแปนิชผู้นี้โด่งดังมาจากสไตล์การเล่นที่ครอบครองบอลไล่บดขยี้คู่แข่งและทำการเคาน์เตอร์เพรสซิ่งทันทีเวลาเสียบอลซึ่งสไตล์การเล่นแบบนี้ส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในทุกๆที่ไม่ว่าจะเป็นที่ บาร์เซโลน่า บาเยิร์น มิวนิค หรือ แมนเชสเตอร์ซิติ้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเป๊ปตั้งแต่มาคุมทีมในเกาะอังกฤษและส่งผลอย่างชัดเจนในฤดูกาลที่แล้วจนถึงต้นฤดูกาลปัจจุบันก็คือลูกทีมของเขามักประสบกับความยากลำบากในการรับมือทีมที่มาเล่นเกมส์โต้กลับเร็วอย่างเช่นในเกมส์ที่โดนวูล์ฟฯบุกมาอัดคาบ้านเมื่อฤดูกาลที่แล้วรวมถึงเกมส์ในปีนี้ที่เลสเตอร์ก็บุกมายำพวกเขาถึงถิ่นเช่นเดียวกัน
จากปัญหาที่เริ่มส่งผลร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆประกอบกับสถานการณ์ความไม่เป็นปกติของการแข่งขันฟุตบอลในฤดูกาลนี้ก็ยิ่งส่งผลให้กุนซือเรือใบสีฟ้าตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการเล่นซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่ก็คงคาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
การเล่นแบบรัดกุมและเน้นผลการแข่งขันกลายเป็นแทคติกที่กวาร์ดิโอล่านำมาใช้ในช่วงหลังซึ่งการตัดสินใจของเขาก็ถือว่าเข้าเป้าเต็มๆ
เพราะถึงแม้การเพรสซิ่งจะลดลงถึง 21.7 % เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่พวกเขาคว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายรวมถึงการยิงประตูที่ยิงได้มากกว่าแค่อาร์เซน่อลทีมเดียวในกลุ่มบิ๊กซิกซ์ก็ถือว่าคุ้มค่าเมื่อได้มาซึ่งการเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกแค่ 13 ประตูและเก็บคลีนชีตไปอีก 9 เกมส์จากการเล่นทั้งหมด 17 นัด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเป๊ปกล้าที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นของตนเองซึ่งแตกต่างจากปรัชญาที่ใช้มาตลอด เพราะเหตุนี้จึงทำให้ทีมเรือใบสีฟ้ากลับมาเดินหน้าโกยแต้มอย่างต่อเนื่องโดยไม่แพ้ใครมาแล้วเป็นจำนวน 9 นัดและชนะมาแล้ว 5 นัดติดต่อกันในลีก
2. คู่เซ็นเตอร์แบ็คสุดแกร่งที่ถือว่าดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แทคติกที่เปลี่ยนไปของเป๊ป กวาร์ดิโอล่านั้นเห็นผลก็คงจะหนีไม่พ้นการจับคู่กันดั่งภูผาของนักเตะใหม่อย่างรูเบน ดิอาส กับนักเตะที่กลับมาฟื้นคืนชีพได้อย่างจอห์น สโตนส์ที่ช่วยกันเก็บคลีนชีตได้ถึง 10 จาก 12 นัดที่ลงเล่นคู่กัน
โดยในรายของรูเบน ดิอาส หลังจากย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ กองหลังทีมชาติโปรตุเกสผู้นี้ก็สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างรวดเร็วจนกลายมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเบอร์ 1 ของทีมเป็นที่เรียบร้อยหลังจากลงเล่นในพรีเมียร์ลีกทุกนัดนับตั้งแต่ย้ายมาพร้อมด้วยสถิติการเคลียร์บอลได้เยอะที่สุดในทีม
ซึ่งเป๊ปก็ได้ออกมาชื่นชมกองหลังผู้นี้ว่า “ดิอาสมีความสามารถในการอ่านเกมส์ที่ยอดเยี่ยมและพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลาซึ่งผมก็มั่นใจเลยว่าเราได้ซื้อนักเตะที่สามารถเล่นให้เราได้ไปอีก 5-7 ปี”
นอกจากนี้สุดยอดกุนซือชาวสเปนยังกล่าวต่อไปว่า “สโมสรของเราโชคดีมากที่ได้นักเตะแบบเขามาร่วมทีมและเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง” หลังจากบทสัมภาษณ์ของเป๊ปก็คงทำให้แฟนบอลซิติ้หลายๆคนหวังว่าอดีตแข้งเบนฟิก้ารายนี้จะกลายเป็นแวงซองต์ กอมปานีคนต่อไป
ส่วนจอห์น สโตนส์ที่ทำท่าว่าจะหมดอนาคตในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ก็สามารถพลิกชิวิตกลับมาสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับแมนเชสเตอร์ ซิติ้หลังจากที่ได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากอาการบาดเจ็บซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งเขาจากการพัฒนาฟอร์มการเล่น
นอกจากนี้การที่เขาสามารถหาจุดสมดุลย์ระหว่างการเล่นแบบเอาชัวร์กับการเล่นแบบชั้นเชิงได้ก็ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่ก่อความผิดพลาดน้อยลงและนั่นทำให้อดีตกองหลังเอฟเวอร์ตันผู้นี้สามารถเอาชนะใจกุนซืออย่างเป็ป กวาร์ดิโอล่าได้ในที่สุด
โดยการจับคู่กันของเขากับรูเบน ดิอาสก็ทำให้อดีตนักเตะเวสต์แฮมอย่างเทรเวอร์ ซินแคลร์ออกมากล่าวชื่นชมว่า “เคมีและความลงตัวระหว่างสโตนส์กับดิอาสนั้นทำให้ผมนึกถึงคู่ของวิดิชและเฟอร์ดินานด์ที่คนนึงคอยเข้า อีกคนนึงคอยซ้อนซึ่งเป็นการเล่นที่สอดประสานกันอย่างลงตัว”
3. ความยอดเยี่ยม (เหมือนเดิมและเพิ่มเติม) ของ เควิน เดอ บรอยน์
แม้ว่าการแพร่ระบาดโควิด 19 ภายในสโมสรร่วมกับอาการบาดเจ็บออดๆแอดๆของกองหน้าตัวเก่งอย่าง เซอร์คิโอ กุน อเกวโร่ จะสร้างปัญหาให้กับแมนซิติ้อย่างต่อเนื่องแต่พวกเขาก็ยังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้เพราะมีจอมทัพชาวเบลเยี่ยมเป็นจุดศูนย์กลางในการขับเคลื่อนเกมส์รุกเพราะถึงแม้ทีมจะทำประตูได้น้อยลงแต่ตัว“เคดีบี”ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นของตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอจากสถิติที่บ่งชี้ว่าเขายังคงเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์โอกาสได้เป็นอันดับที่ 1 และทำแอสซิสต์ได้เป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก
นอกจากนี้ด้วยความหลากหลายในการเล่นของเขาก็สามารถขึ้นมาอุดรอยโหว่ในแผงกองหน้าของทีมได้หลังจากบางครั้งกวาร์ดิโอล่าก็ใช้เขาในตำแหน่งกองหน้าตัวหลอกหรือ False Nine ในเกมส์กับเชลซีและไบร์ทตันซึ่งเขาก็สามารถทำตามบัญชาเจ้านายได้อย่างไร้ที่ติแถมด้วย 1 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์จากตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้นด้วยความสุดยอดของเขาก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรถ้าแฟนบอลหลายๆคนจะบอกว่าเควิน เดอ บรอยน์คือนักเตะที่ครบเครื่องและดีที่สุดของแมนเชสเตอร์ซิติ้หรือแม้กระทั่งในพรีเมียร์ลีก
ต่อจากนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเป๊ปและลูกทีมจะสามารถทำผลงานร้อนแรงแบบนี้ได้ยาวนานแค่ไหน ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าดูจากโปรแกรมการแข่งขันที่ไม่หนักมากนักอีกทั้งยังแข่งน้อยกว่าทีมจ่าฝูงอย่างแมนยูไนเต็ดอยู่ 1 นัดและมีแต้มน้อยกว่าปีศาจแดงแค่ 2 คะแนน นี่ยังไม่รวมถึงนักเตะตัวหลักๆที่เริ่มทยอยกันกลับมาลงในเล่นเกมส์ล่าสุดกับคริสตัล พาเลซอย่างกาเบรียล เชซุส, ไคล์ วอล์กเกอร์และเอแดร์ซอน ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเป๊ปและเหล่าขุนพลเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิติ้ ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งผู้ท้าชิงบังลังก์แชมป์พรีเมียรืลีกจากลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว
แมนเชสเตอร์ ซิติ้ มาแว้ว ! ในฟอร์มการเล่นที่สุดยอดใน พรีเมียร์ลีก | TunGame
หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ซิติ้ ออกสตาร์ทได้ไม่ดีนักด้วยการเก็บได้แค่ 8 แต้มจาก 6 นัดแรกของฤดูกาลซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่กุนซืออัจฉริยะอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมทีม
เหล่าขุนผลเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิติ้ ก็เริ่มเร่งเครื่องและกลับมาสู่เส้นทางที่พวกเขาควรจะเป็นอีกครั้งหลังจากที่ไม่ปราชัยอีกเลยนับตั้งแต่พบกับ สเปอร์ส ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
เพราะเหตุใดลูกทีมของเป๊ปจึงสามารถกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งหลังจากก่อนหน้านี้บางคนถึงขนาดกาชื่อแมนซิตื้ออกจากสารบบลุ้นแชมป์ไปแล้ว
1. ความไม่ดื้อรั้นของเป็ป กวาร์ดิโอล่า ในสนามการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก
เป็นที่รู้กันดีว่าสุดยอดกุนซือชาวสแปนิชผู้นี้โด่งดังมาจากสไตล์การเล่นที่ครอบครองบอลไล่บดขยี้คู่แข่งและทำการเคาน์เตอร์เพรสซิ่งทันทีเวลาเสียบอลซึ่งสไตล์การเล่นแบบนี้ส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในทุกๆที่ไม่ว่าจะเป็นที่ บาร์เซโลน่า บาเยิร์น มิวนิค หรือ แมนเชสเตอร์ซิติ้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเป๊ปตั้งแต่มาคุมทีมในเกาะอังกฤษและส่งผลอย่างชัดเจนในฤดูกาลที่แล้วจนถึงต้นฤดูกาลปัจจุบันก็คือลูกทีมของเขามักประสบกับความยากลำบากในการรับมือทีมที่มาเล่นเกมส์โต้กลับเร็วอย่างเช่นในเกมส์ที่โดนวูล์ฟฯบุกมาอัดคาบ้านเมื่อฤดูกาลที่แล้วรวมถึงเกมส์ในปีนี้ที่เลสเตอร์ก็บุกมายำพวกเขาถึงถิ่นเช่นเดียวกัน
จากปัญหาที่เริ่มส่งผลร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆประกอบกับสถานการณ์ความไม่เป็นปกติของการแข่งขันฟุตบอลในฤดูกาลนี้ก็ยิ่งส่งผลให้กุนซือเรือใบสีฟ้าตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการเล่นซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่ก็คงคาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
การเล่นแบบรัดกุมและเน้นผลการแข่งขันกลายเป็นแทคติกที่กวาร์ดิโอล่านำมาใช้ในช่วงหลังซึ่งการตัดสินใจของเขาก็ถือว่าเข้าเป้าเต็มๆ
เพราะถึงแม้การเพรสซิ่งจะลดลงถึง 21.7 % เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่พวกเขาคว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายรวมถึงการยิงประตูที่ยิงได้มากกว่าแค่อาร์เซน่อลทีมเดียวในกลุ่มบิ๊กซิกซ์ก็ถือว่าคุ้มค่าเมื่อได้มาซึ่งการเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกแค่ 13 ประตูและเก็บคลีนชีตไปอีก 9 เกมส์จากการเล่นทั้งหมด 17 นัด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเป๊ปกล้าที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นของตนเองซึ่งแตกต่างจากปรัชญาที่ใช้มาตลอด เพราะเหตุนี้จึงทำให้ทีมเรือใบสีฟ้ากลับมาเดินหน้าโกยแต้มอย่างต่อเนื่องโดยไม่แพ้ใครมาแล้วเป็นจำนวน 9 นัดและชนะมาแล้ว 5 นัดติดต่อกันในลีก
2. คู่เซ็นเตอร์แบ็คสุดแกร่งที่ถือว่าดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แทคติกที่เปลี่ยนไปของเป๊ป กวาร์ดิโอล่านั้นเห็นผลก็คงจะหนีไม่พ้นการจับคู่กันดั่งภูผาของนักเตะใหม่อย่างรูเบน ดิอาส กับนักเตะที่กลับมาฟื้นคืนชีพได้อย่างจอห์น สโตนส์ที่ช่วยกันเก็บคลีนชีตได้ถึง 10 จาก 12 นัดที่ลงเล่นคู่กัน
โดยในรายของรูเบน ดิอาส หลังจากย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ กองหลังทีมชาติโปรตุเกสผู้นี้ก็สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างรวดเร็วจนกลายมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเบอร์ 1 ของทีมเป็นที่เรียบร้อยหลังจากลงเล่นในพรีเมียร์ลีกทุกนัดนับตั้งแต่ย้ายมาพร้อมด้วยสถิติการเคลียร์บอลได้เยอะที่สุดในทีม
ซึ่งเป๊ปก็ได้ออกมาชื่นชมกองหลังผู้นี้ว่า “ดิอาสมีความสามารถในการอ่านเกมส์ที่ยอดเยี่ยมและพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลาซึ่งผมก็มั่นใจเลยว่าเราได้ซื้อนักเตะที่สามารถเล่นให้เราได้ไปอีก 5-7 ปี”
นอกจากนี้สุดยอดกุนซือชาวสเปนยังกล่าวต่อไปว่า “สโมสรของเราโชคดีมากที่ได้นักเตะแบบเขามาร่วมทีมและเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง” หลังจากบทสัมภาษณ์ของเป๊ปก็คงทำให้แฟนบอลซิติ้หลายๆคนหวังว่าอดีตแข้งเบนฟิก้ารายนี้จะกลายเป็นแวงซองต์ กอมปานีคนต่อไป
ส่วนจอห์น สโตนส์ที่ทำท่าว่าจะหมดอนาคตในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ก็สามารถพลิกชิวิตกลับมาสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับแมนเชสเตอร์ ซิติ้หลังจากที่ได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากอาการบาดเจ็บซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งเขาจากการพัฒนาฟอร์มการเล่น
นอกจากนี้การที่เขาสามารถหาจุดสมดุลย์ระหว่างการเล่นแบบเอาชัวร์กับการเล่นแบบชั้นเชิงได้ก็ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่ก่อความผิดพลาดน้อยลงและนั่นทำให้อดีตกองหลังเอฟเวอร์ตันผู้นี้สามารถเอาชนะใจกุนซืออย่างเป็ป กวาร์ดิโอล่าได้ในที่สุด
โดยการจับคู่กันของเขากับรูเบน ดิอาสก็ทำให้อดีตนักเตะเวสต์แฮมอย่างเทรเวอร์ ซินแคลร์ออกมากล่าวชื่นชมว่า “เคมีและความลงตัวระหว่างสโตนส์กับดิอาสนั้นทำให้ผมนึกถึงคู่ของวิดิชและเฟอร์ดินานด์ที่คนนึงคอยเข้า อีกคนนึงคอยซ้อนซึ่งเป็นการเล่นที่สอดประสานกันอย่างลงตัว”
3. ความยอดเยี่ยม (เหมือนเดิมและเพิ่มเติม) ของ เควิน เดอ บรอยน์
แม้ว่าการแพร่ระบาดโควิด 19 ภายในสโมสรร่วมกับอาการบาดเจ็บออดๆแอดๆของกองหน้าตัวเก่งอย่าง เซอร์คิโอ กุน อเกวโร่ จะสร้างปัญหาให้กับแมนซิติ้อย่างต่อเนื่องแต่พวกเขาก็ยังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้เพราะมีจอมทัพชาวเบลเยี่ยมเป็นจุดศูนย์กลางในการขับเคลื่อนเกมส์รุกเพราะถึงแม้ทีมจะทำประตูได้น้อยลงแต่ตัว“เคดีบี”ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นของตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอจากสถิติที่บ่งชี้ว่าเขายังคงเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์โอกาสได้เป็นอันดับที่ 1 และทำแอสซิสต์ได้เป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก
นอกจากนี้ด้วยความหลากหลายในการเล่นของเขาก็สามารถขึ้นมาอุดรอยโหว่ในแผงกองหน้าของทีมได้หลังจากบางครั้งกวาร์ดิโอล่าก็ใช้เขาในตำแหน่งกองหน้าตัวหลอกหรือ False Nine ในเกมส์กับเชลซีและไบร์ทตันซึ่งเขาก็สามารถทำตามบัญชาเจ้านายได้อย่างไร้ที่ติแถมด้วย 1 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์จากตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้นด้วยความสุดยอดของเขาก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรถ้าแฟนบอลหลายๆคนจะบอกว่าเควิน เดอ บรอยน์คือนักเตะที่ครบเครื่องและดีที่สุดของแมนเชสเตอร์ซิติ้หรือแม้กระทั่งในพรีเมียร์ลีก
ต่อจากนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเป๊ปและลูกทีมจะสามารถทำผลงานร้อนแรงแบบนี้ได้ยาวนานแค่ไหน ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าดูจากโปรแกรมการแข่งขันที่ไม่หนักมากนักอีกทั้งยังแข่งน้อยกว่าทีมจ่าฝูงอย่างแมนยูไนเต็ดอยู่ 1 นัดและมีแต้มน้อยกว่าปีศาจแดงแค่ 2 คะแนน นี่ยังไม่รวมถึงนักเตะตัวหลักๆที่เริ่มทยอยกันกลับมาลงในเล่นเกมส์ล่าสุดกับคริสตัล พาเลซอย่างกาเบรียล เชซุส, ไคล์ วอล์กเกอร์และเอแดร์ซอน ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเป๊ปและเหล่าขุนพลเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิติ้ ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งผู้ท้าชิงบังลังก์แชมป์พรีเมียรืลีกจากลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว
support
แชร์เนื้อหา
FOLLOW US
POPULAR
ราฟาแอล วาราน มาแล้ว แชมป์ มาได้หรือยัง? | TunGame
อ่านต่อ »จากนักเตะติดสุราจนถึงผู้เล่นระดับตำนาน … เปิดอดีต 6 แข้ง เบอร์ 10 ของอาร์เซน่อล | TunGame
อ่านต่อ »สุดดราม่า! บทวิเคราะห์หลังเกม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | TunGame
อ่านต่อ »ทีมยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก ประจำครึ่งฤดูกาลแรก | TunGame
อ่านต่อ »LATEST POST
พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝ่า 2 เดือนอำมะหิตแต่จบด้วย แชมป์ | TunGame
อ่านต่อ »บทสัมภาษณ์แฟนปีศาจแดง | TunGame
อ่านต่อ »ถึงเวลาแล้วที่เชลซีต้องแยกทางกับเมสัน เมาท์ | TunGame
อ่านต่อ »ใครจะมาคุมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ในฤดูกาลหน้า? | TunGame
อ่านต่อ »TOPICS
News Update
Commentary
Documentary
Match Analysis
RELATED POST
พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝ่า 2 เดือนอำมะหิตแต่จบด้วย แชมป์ | TunGame
บทสัมภาษณ์แฟนปีศาจแดง | TunGame
ถึงเวลาแล้วที่เชลซีต้องแยกทางกับเมสัน เมาท์ | TunGame
ใครจะมาคุมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ในฤดูกาลหน้า? | TunGame