จาก “ผี” สู่ “หงส์” กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป | TunGame

แม้จะพลาดการคว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ไปแล้ว แต่สำหรับนาทีนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเหล่าพลพรรคหงส์แดง “ลิเวอร์พูล” และไม่ว่าในท้ายที่สุดฤดูกาลนี้จะจบลงอย่างไร นี่จะเป็นหนึ่งในฤดูกาลนี่น่าจดจำไปตลอดกาลของสาวกหงส์แดง ลิเวอร์พูล

เราลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งความผิดหวังและสมหวัง จนกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นสู่ “ยุคทองของหงส์แดง” ลิเวอร์พูล ไปพร้อมๆกันเลยครับ

ทีใคร ทีมัน

หงส์” ใหญ่แต่ “ผี” ใหญ่กว่า

ตลอดระยะเวลา 26 ปีใต้ร่มเงาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกือบๆ สามทศวรรษที่เราได้เห็น แมนแชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์จนเป็นภาพชินตา หลายๆสถิติถูกทำลายลงเรื่อยๆ รวมถึงแชมป์ลีกสูงสุดที่รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นทีมปีศาจแดงที่แซงหน้า ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยที่ 20 และต่อด้วย 21 ในเวลาไล่เลี่ยกัน

ในยุคนั้น ต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่ใหญ่กว่าและเหนือกว่า ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง แฟนของทีมหงส์แดงอาจรู้สึกตัวเล็กลงทุกทีเมื่อพูดถึง แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาก็ไม่เคยคว้ามาครองได้อีกเลย มันคือ ยุคสมัยของผีแดง อย่างแท้จริง

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

การเข้ามากอบกู้ทีม ลิเวอร์พูล ของกลุ่มทุนจาก เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ในปี 2010 จากวิกฤตหนี้การเงินที่สร้างไว้โดยสองเจ้าของทีมเดิมชาวอเมริกันอย่าง ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ต ถือเป็นจุดกลับตัวจากจุดต่ำสุดของทีมหงส์แดง

แนวทางการทำงานที่ชัดเจนของ จอห์น เฮนรี่ เจ้าของทีม ลิเวอร์พูล คนปัจจุบันที่เน้นให้สโมสรสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง อัดฉีดเงินส่วนตัวให้น้อยที่สุด ถึงแม้แฟนบอลส่วนใหญ่จะไม่ค่อยถูกใจและมองว่ามันเป็นธุรกิจมากกว่า แต่ผลงานในสนามกลับดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ

เริ่มต้นจากการกลับมาคุมทีมอีกครั้งของ “คิง เคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช ในช่วงปี 2011 -2012 ที่ถึงแม้ว่าอันดับใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของ ลิเวอร์พูล จะจบไม่สวย อยู่อันดับ 6 ในฤดูกาล 2010/2011 และ 8 ในฤดูกาล 2011/2012 แต่ก็ เคนนี่ ดัลกลิช ก็สามารถพาทีมได้แชมป์ลีกคัพครั้งที่ 8 สโมสรในฤดูกาล 2011/2012 ซึ่งถือเป็นถ้วยแชมป์ที่จับต้องได้นับตั้งแต่ แชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาล 2005/2006 

ต่อมาในยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เข้ามาทำทีมต่อจาก คิง เคนนี่ ถึงแม้ว่าปีแรกของ บีร็อด ในฤดูกาล 2012/2013 กับ ลิเวอร์พูล นั้นจะไม่ดีเท่าที่ควรพาทีมจบอันดับที่ 7 แต่ด้วยทรงบอลที่ดีและปรัชญาการทำทีมที่ชัดเจน เน้นครองบอล เล่นเกมบุก ทำให้ในฤดูกาลต่อมา 2013/2014 เค้าเกือบจะสร้างประวัติศาสตร์ ยุติการรอคอยแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในรอบ 23 ปี แต่ด้วยช็อตลื่นบันลือโลกชองชายที่แฟนบอลหงส์แดงรักมากที่สุดคนหนึ่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเกมที่พบกับ เชลซี รวมไปถึงเกมที่พลาดท่าเสมอกับ คริสตัล พาเลซ ทั้งที่ออกนำไปก่อนถึง 3-0 ทำให้หงส์แดงพลาดท่าเสียแชมป์ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยแต้มห่างเพียงแค่ 2 แต้มเท่านั้น

ซึ่งในฤดูกาลต่อมา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ไม่สามารถรักษาระดับการเล่นของ ลิเวอร์พูล ไว้ได้จบอันดับที่ 6 ใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2014/2015 และโดนปลดในปีต่อมา ถึงแม้ว่า บีร็อด จะทำทีมได้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านช่วงเวลาก่อนที่เขาจะมาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันยังไม่ถึงจุดที่แฟนบอลคาดหวังและยังห่างไกลจากจุดที่ ลิเวอร์พูล เคยเป็น

“เปลี่ยนผู้กังขาสู่ผู้ศรัทธา” เจอร์เก้น คล็อปป์

แน่นอนว่าการเข้ามาของกลุ่มทุนอเมริกันอย่าง เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ของ จอห์น เฮนรี่ นั้นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสโมสร ลิเวอร์พูล แต่การแต่งตั้งผู้จัดการทีมที่ชื่อ “เจอร์เก้น คล็อปป์” ในปี 2015 นั้นก็เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของทีมหงส์แดงอย่างแท้จริง

การสร้างทีมและความสำเร็จของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ ดอร์ทมุนด์ สามารถบ่งบอกถึงฝีมือของกุนซือรายนี้ได้ระดับนึง แต่การจะคุมทีมที่มีประวัติศาสตร์และความคาดหวังจากแฟนบอลแล้ว ความเก่งเรื่องฟุตบอลอย่างเดียวคงไม่พอแต่ต้องมีบารมีด้วยซึ่ง ซึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นผู้ที่มีสิ่งนั้น

สิ่งแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ความสำคัญ ไม่ใช่เรื่องของการวางแผนหรือแท็คติกอะไรที่เกี่ยวกับฟุตบอลเลย แต่คือการเปลี่ยนทัศนคติของแฟนบอลที่มีต่อทีมในเวลานั้น ซึ่งประโยคที่ คล็อปป์ ได้สื่อสารกับแฟน ลิเวอร์พูล คือ “We are going to change from Doubter to Believer” ซึ่งหมายถึงการเริ่มจาก ความหวัง ความศรัทธา ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการสร้างร่วมกันกับแฟน ลิเวอร์พูล ก่อนที่พวกเขาจะก้าวไปคว้าแชมป์ใด ๆ

ถึงแม้ว่าผลการแข่งขันในช่วงแรกๆ อาจจะไม่ค่อยเป็นใจแต่แฟนบอลสัมผัสได้ถึงความทุ่มเทของนักเตะ และเริ่มสนุกกับการที่ได้ดูทีมรักอีกครั้ง แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้ให้คำสัญญากับทั้งนักเตะและแฟนบอล ลิเวอร์พูล ไว้ว่าจะคว้าแชมป์แรกให้ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี

จุดเริ่มต้นของยุคหงส์แดง “ลิเวอร์พูล”

ถึงแม้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะสามารถพา ดอร์ทมุนด์ คว้า แชมป์บุนเดสลีกา ได้ถึง 2 สมัยซ้อน แต่ก็ดูเหมือนว่าในบอลถ้วย เขาจะเป็นพระรองเสียส่วนใหญ่ และดูเหมือนสิ่งนั้นจะต่อเนื่องมาจนถึงตอนที่เขาคุม ลิเวอร์พูล ด้วย ในฤดูกาล 2016/2017  คล็อปป์ สามารถพา ลิเวอร์พูล ลุ้นแชมป์ได้ก็จริง แต่ก็ต้องผิดหวังที่ได้ทั้งรองแชมป์ ลีก คัพ และ ยูโรป้า ลีก ต่อมาในฤดูกาล 2017/2018 ที่สามารถพาลิเวอร์พูลเข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แต่ก็แพ้ในรอบชิงอีกตามเคยจากช็อตพลาดช็อกโลกของ โลริส คาริอุส แต่ถึงแม้จะอกหักซ้ำแล้วซ้ำอีก เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยังคงมี ศรัทธา ดั่งที่เคยได้กล่าวไว้ตอนเข้ามารับงาน

ในที่สุด ศรัธทา ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็เป็นผลเมื่อเขาสามารถพา ลิเวอร์พูล ปลดล็อคถ้วยแชมป์ได้รัว ๆ เริ่มจากการคว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2018/2019 นับเป็นจุดเริ่มต้นยุคของหงส์แดงอย่างแท้จริง ก่อนที่จะคว้า แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่รอคอยมา 30 ปีให้สาวก ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2019/2020

ยิ่งมาในฤดูกาลนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังสามารถพา ลิเวอร์พูล มีลุ้นและเข้าชิงได้ทุกรายการทั้ง 4 รายการ สามารถคว้า แชมป์ลีก คัพ ครั้งแรกในรอบ 10 ปี พาทีมคว้า แชมป์เอฟเอ คัพ ครั้งแรกในรอบ 16 ปี แม้จะพลาดไปแล้วหนึ่งรายการอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่การจบอันดับที่ 2 ด้วยการมี 92 คะแนนตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ในปีนี้เพียง 1 คะแนน ก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุด ๆ แล้ว แถมยังเหลือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ลุ้นกับ เรอัล มาดริด ในนัดชิงชนะเลิศอีกหนึ่งรายการ

ถึงแม้ว่าในปีนี้ท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล อาจจะได้เพียง 2 แชมป์ หรือ 3 แชมป์ มันก็คือฤดูกาลที่น่าจดจำที่สุดฤดูกาลหนึ่งของทีม และหากมองย้อนกลับไปในช่วงหลังที่ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงมองไปในอนาคต ด้วยขุมกำลังของทีมที่มีในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเซ็นสัญญาคุมทีมต่อไปอีก 4 ปีของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นับจากนี้ ทำให้แฟนหงส์สามารถมั่นใจได้ว่าความสำเร็จของทีมจะไม่หยุดแค่นี้แน่นอน เรียกได้ว่าเป็น “ยุคของหงส์แดง” อย่างแท้จริง

ตารางการแข่งขัน ตารางผลบอล

เต็งแชมป์ EPL

tungame

tungame

Tungame.co เว็บไซต์รวบรวมข่าวสารและบทวิเคราะห์แบบเจาะลึกของวงการฟุตบอล ข่าวดัง ข่าวเด่น พร้อมข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

แชร์เนื้อหา