พลังแห่งเสียงที่ดังกว่า : ดีดิเยร์ ดร็อกบา | TunGame
วลีที่ว่า“ฟุตบอลบอลเป็นมากกว่ากีฬา” มักถูกใช้อยู่บ่อยครั้งในโลกฟุตบอลแต่ความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร?
ครั้งหนึ่ง “ดีดิเยร์ ดร็อกบา” ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า “ฟุตบอลบอลเป็นมากกว่ากีฬา” เป็นอย่างไร ด้วยการใช้ “เสียงที่ดังกว่า” ในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติและประชาชนคนนึง ช่วยขับเคลื่อนบ้านเมืองจนนำไปสู่การยุติสงครามภายใน“ประเทศไอวอรี่โคสต์”ของเขาได้สำเร็จได้สำเร็จ
สงครามภายในประเทศไอวอรี่โคสต์
“ประเทศไอวอรี่โคสต์” ตกอยู่ภายใต้ความไม่สงบตั้งแต่ปี1999ที่เกิดการรัฐประหารเกิดขึ้น ทำให้ประเทศต้องอยู่ในยุคเผด็จการระยะหนึ่งก่อนที่จะมีการเลือกตั้งและได้นาย “โลรองต์ บักโบ”ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ในปี 2001
แม้จะได้ประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแต่ความคุกกรุ่นทางการเมืองยังคงไม่สิ้นสุด เนื่องจากกฎหมายการเลือกตั้งที่ถูกบัญญัติขึ้นในปี2000นั้น ถูกจงใจเขียนเพื่อกีดกัน อริทางการเมืองคนสำคัญของ โลรองต์บักโบที่มีชื่อว่า “อลาสซานออตตารา” ให้หมดสิทธิ์ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศเนื่องจากเงื่อนไขทางเชื้อชาติ
ความเลวร้ายมาปะทุเมื่อปี2002เมื่อฝั่งที่สนับสนุน อลาสซาน ออตตารา ได้เริ่มปฏิบัติการก่อกบฏขึ้นจนทำให้ประเทศไอวอรี่โคสต์ เข้าสู่สงครามกลางเมืองแบบเต็มรูปแบบ กองกำลังของทั้ง 2ฝั่งล้มตายเป็นจำนวนมากรวมไปถึงประชาชนทั่วไปที่ต่างโดนลูกหลงจากสงครามกลางเมืองอันรุนแรงและโหดร้ายครั้งนี้
แม้องค์กรอย่างสหประชาชาติ จะพยายามยื่นมือเข้ามาเป็นตัวกลางในการสงบศึกครั้งนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล
แน่นอนว่า“ดีดิเยร์ ดร็อกบา” ในฐานะประชาชนคนนึงที่เกิดบนผืนแผ่นดินไอวอรี่โคสต์ย่อมไม่อยากเห็นการสูญเสียเกิดขึ้นในประเทศของเขา แต่ในขณะนั้นเองเขาเป็นเพียงนักฟุตบอลโนเนมที่ค้าแข้งกับสโมสรแก็งก็อง ในลีก เอิง ฝรั่งเศสเท่านั้น “เสียง” ของเขายังไม่สามารถลุกขึ้นมาเรียกร้องหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้แต่ความคิดที่อยากจะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศให้เกิดความสงบสุขก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
แสงแรกในความมืดมิด
มาในปี2005ดีดิเยร์ ดร็อกบาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในเวทีฟุตบอลยุโรปกับ โอลิมปิก มาร์กเซยจนถูกสโมสรยักษ์ใหญ่หลายทีมรุมจีบ ท้ายที่สุด ดร็อกบา ก็ได้ย้ายไปร่วมทัพสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ที่ยอมทุ่มเงินถึง 24 ล้านยูโรเพื่อคว้าตัวไป
แน่นอนว่าการที่ประเทศไอวอรี่โคสต์ที่ไม่ได้โด่งดังเรื่องฟุตบอล (ในสมัยนั้น) แต่กลับมีนักเตะจากชาติพวกเขาได้ย้ายไปค้าแข้งในเวทีพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ให้กับสโมสรอย่าง เชลซี ด้วยค่าตัวที่ถือว่ามหาศาล ณ ขณะนั้นทำให้ ดีดิเยร์ ดร็อกบา กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ของชาติขึ้นมาทันที ที่ไม่ว่าจะขยับตัวอะไรก็เป็นที่สนใจของคนในชาติไปเสียหมด
สงครามในประเทศยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 8ตุลาคม 2005 วันที่ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มหักเห
ในวันนั้นทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ต้องออกไปเยือน ทีมชาติซูดาน ในเกมฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือกนัดสุดท้าย โดยเงื่อนไขมีอยู่ว่า ทีมชาติไอวอรี่โคสต์ต้องชนะเท่านั้น แล้วลุ้นให้ ทีมชาติ แคเมอรูนที่นำพวกเขาอยู่หนึ่งแต้มไม่ชนะ ถึงจะทำให้ทีมชาติไอวอรี่โคสต์ได้เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทันที
จบเกมที่ซูดานดีดิเยร์ ดร็อกบา และทีมชาติไอวอรี่โคสต์ทำหน้าที่ของตัวเองสำเร็จด้วยการเอาชนะทีมชาติซูดานไป 3 – 1 เหลือแต่เพียงร่วมกันลุ้นผลของคู่ทีมชาติแคเมอรูนที่ยังแข่งไม่จบผ่านทางวิทยุ และในที่สุดเสียงนกหวีดจากอีกฟากของทวีฟแอฟริกาก็ดังขึ้น ทีมชาติแคเมอรูนทำได้เพียงเสมอทีมชาติอียิปต์ 1 – 1 ส่งให้ ทีมชาติไอวอรี่โคสต์ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ของประเทศพวกเขา
ดีดิเยร์ดร็อกบา และทีมชาติไอวอรี่โคสต์ต่างดีใจกันสุดเหวี่ยงกับการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศชาติของพวกเขาในครั้งนี้มันควรจะเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ของพวกชาวไอวอรี่โคสต์ทุกคนแต่การไปเล่นฟุตบอลโลกจะนำความสุขมาให้คนในชาติได้อย่างไร ในเมื่อความเป็นจริงแล้วกองกำลังของทั้ง2ฝ่ายการเมืองยังคงเข่นฆ่ากันจนมีผู้เสียชีวิตนับพันคน
ดิดีเยร์ดร็อกบาและเพื่อนร่วมทีมชาติไอวอรี่โคสต์ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันคงไม่มีโอกาสไหนแล้วที่จะสมานรอยร้าวภายในประเทศได้ดีไปกว่าตอนนี้ที่ฟุตบอลกำลังนำความสุขมาให้ทุกคนในชาติ
พวกเขาเชิญนักข่าวทุกสำนักเข้าสู่ห้องแต่งตัวของพวกเขานักเตะทีมชาติไอวอรี่โคสต์ต่างยืนตั้งแถวกอดคอกัน ไมโครโฟนก็ถูกยื่นไปให้ ดิดีเยร์ดร็อกบา และเขาก็เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอล
“พี่น้องชาวไอวอรี่โคสต์ จากเหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตกวันนี้พวกเราได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้วว่าไม่ว่าพวกเราจะมาจากคนละภาคของประเทศไอวอรี่โคสต์แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้พวกเราสามารถเล่นฟุตบอลร่วมกันและมีเป้าหมายอันเดียวกันได้และผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกได้สำเร็จ
เราขอสัญญาว่าการเฉลิมฉลองครั้งนี้จะหลอมรวมประเทศเราให้เป็นหนึ่งอีกครั้งวันนี้พวกเราขอคุกเข่าต่อหน้าพวกคุณทุกคน เราขอให้ท่านโปรดให้อภัยกันประเทศไอวอรี่โคสต์อันอุดมสมบูรณ์ของเราต้องไม่ตกอยู่ในสงครามอีกต่อไป
ได้โปรดวางอาวุธของท่านลงจัดการเลือกตั้ง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น วางปืนของท่านลง แล้วเราจะเฉลิมฉลองไปด้วยกัน”
แม้จะไม่ใช่นักการเมืองหรือประธานาธิบดีแต่คำพูดของ ดีดิเยร์ ดร็อกบา ผู้เป็นที่รักของคนทั้งประเทศได้ส่งอิทธิพลออกไปอย่างแรงกล้าทั่วผืนแผ่นดินไอวอรี่โคสต์แม้จะไม่สามารถยุติเรื่องราวความบาดหมางทุกอย่างได้ในทันทีแต่สถาณการณ์ทุกอย่างก็เริ่มจะเบาลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จนประชาชนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุงโมงค์
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นความตึงเครียดในประเทศไอวอรี่โคสต์ยังคงดำเนินต่อไป แต่ ดีดิเยร์ ดร็อกบาก็ไม่ลดละความพยายามและยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อหวังที่จะสงบศึกในประเทศลงให้ได้จนมาถึงวันที่ 3มิถุนายน 2007 วันที่ชาวไอวอรี่โคสต์จะต้องจดจำกันไปตลอดชีวิต
ณ บูยาเก้
วันที่3มิถุนายน 2007 ทีมชาติไอวอรี่โคสต์มีโปรแกรมทำการแข่งขันฟุตบอล แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพรอบคัดเลือกนัดสุดท้ายในบ้านของพวกเขา โดยปกติแล้ว ทีมชาติไอวอรี่โคสต์จะเล่นเกมเหย้าในเกมระดับทีมชาติที่ เมืองอบิดจาน เมืองหลวงซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝั่งโลรองต์บักโบ
แต่สำหรับเกมนี้ดีดิเยร์ ดร็อกบา ได้เจรจากับสมาพันธ์ฟุตบอลแอฟริกา ให้เกมนี้ย้ายไปเล่นที่เมืองบูอาเก้ซึ่งเป็นดั่งฐานทัพของกลุ่มกบฏเก่าของ อลาสซาน ออตตาราเพื่อหวังจะใช้ฟุตบอลเป็นสะพานในการประสานรอยร้าวที่มีในประเทศให้สำเร็จ
ไม่เพียงเท่านั้นดีดิเยร์ ดร็อกบา ยังเป็นคนลงมือเจรจากับทั้งฝั่ง บักโบ และ ออตตาราด้วยตัวเอง เผื่อให้ บักโบ ยอมก้าวเข้าไปในถิ่นของอริ และเพื่อให้ ออตตาราให้คำมั่นสัญญาในการดูแลความปลอดภัยแก่ บักโบ ในครั้งนี้
มันเป็นการกระทำที่เสี่ยงมากเพราะหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นที่ เมืองบูยาเก้ เกมฟุตบอลนัดนี้อาจจะกลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่แต่ ดีดิเยร์ ดร็อกบา ก็เชื่อมั่นว่าเขาสามารถใช้โอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้หลอมรวมประเทศให้เป็นหนึ่งอีกครั้งให้ได้
เมื่อถึงวันแข่งขันผู้คนในเมืองบูยาเก้ ต่างมารวมตัวกันแน่นขนัดทั้งนอกและในสนาม มันคือบรรยากาศที่สุดจะบรรยายการที่ประชาชนต่างอยู่ในความมืดมิดของสงครามมาอย่างยาวนาน แต่ในวันนี้พวกเข้าได้ต้อนรับการมาเยือนของทีมฟุตบอลของชาติตัวเองที่มีดีดิเยร์ ดร็อกบา กองหน้าวีรบุรุษของชาติเป็นผู้นำทัพ
ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้นทุกสายตาจับจ้องไปที่ โลรองต์ บักโบ และ อลาสซานออตตาราอริการเมืองผู้เป็นต้นเหตุของสงครามในครั้งนี้ ทั้ง 2 ต่างจับมือกันและร้องเพลงชาติร่วมมันเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้แต่ ดร็อกบา ก็ทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นผู้คนต่างวิ่งลงสู่สนามอย่างบ้าคลั่งไม่ใช่เพราะความดีใจจากผลการแข่งขันที่ถล่มคู่แข่งไป 5 – 0แต่มันคือความอัดอั้นที่ถูกปลดปล่อยออกมาแสงสว่างหลังจากที่ต้องอยู่ในความมืดมิดมาเนิ่นนานได้อยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว
หลังจากเกมนั้นผ่านพ้นไปไม่นานในที่สุดทั้ง โลรองต์บักโบ และ อลาสซานออตตาราก็ยอมเจรจากันและเซ็นสัญญาสงบศึกเพื่อยุติสงครามกลางเมืองทั้งหมดและคืนความสงบสุขให้แก่ชาวไอวอรี่โคสต์
แม้ภาพจำความสำเร็จอันสูงสุดของดีดิเยร์ ดร็อกบา สำหรับแฟนบอลทั่วโลกจะเป็นค่ำคืนที่มิวนิค ในปี 2012 ที่เขาโหม่งตีเสมอ และยิงจุดโทษลูกสุดท้ายพา เชลซี คว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้สำเร็จ
แต่สำหรับตัวดีดิเยร์ ดร็อกบา แล้วมันไม่มีถ้วยแชมป์ไหนจะยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เขาได้ทำให้กับประเทศบ้านเกิดของเขาอีกแล้วในฐานะพลเมืองคนหนึ่งที่อยากเห็นความสงบสุขในประเทศ
ดร็อกบาดร็อกบาได้พิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นว่า แม้เขาจะไม่ใช่นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลเป็นเพียงนักฟุตบอลคนนึง แต่ด้วย “เสียงที่ดังกว่า”ประชาชนทั่วไปของเขา หากคิดจะลุกขึ้นมาพูดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชาติบ้านเมืองในทางที่ดีขึ้นมันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
support
แชร์เนื้อหา