อาลัย อุลลิเยร์ | TunGame
วงการฟุตบอลต้องพบกับข่าวเศร้าอีกครั้งหลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ( 14 ธ.ค.) เชราร์ อุลลิเยร์ อดีตกุนซือลิเวอร์พูลได้เสียชิวิตลงหลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวใจที่กรุงปารีสด้วยวัย 73 ปีดังนั้น
ทันเกมจึงอยากมาเล่าเรื่องราวในสมัยที่กุนซือชาวฝรั่งเศสผู้นี้เข้ามากุมบังเหียนทีมหงส์แดงในระหว่างปี 1998 – 2004 ซึ่งเขาถือเป็นบุคคลสำคัญที่พลิกลิเวอร์พูลให้กลับมาเป็นทีมระดับท็อปของลีกและยุโรปอีกครั้งหลังจากมีผลงานที่ไม่สู้ดีนักในช่วงทศวรรษที่ 90
– หลังจากที่หมดสัญญาในฐานะผู้อำนวยการเทคนิคของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสหลังจบฟุตบอลโลกปี 1998 เชราร์ อุลลิเยร์ได้ตัดสินใจเซ็นต์สัญญาเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลร่วมกับรอย อีแวนส์ ในฤดูกาล 1998 – 1999 อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนพฤศจิกายน 1998 ผลงานของทีมย่ำแย่จนทำให้ รอย อีแวนส์ตัดสินใจลาออกหลังเกมส์ที่แพ้คาบ้านต่อท็อตแนมฮ็อทสเปอร์ด้วยสกอร์ 1 ประตู ต่อ 3 ในศึกลีกคัพ และนั่นทำให้อุลลิเยร์ขึ้นมาคุมทัพหงส์แดงแบบเต็มตัวซึ่งก็ทำให้เขามีอำนาจในการจัดการทีมได้อย่างอิสระเพราะที่ผ่านมาวิธีการของเขากับอีแวนส์ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
– โดยช่วงแรกอุลลิเยร์ใช้ช่วงที่เหลือของฤดูกาล 1998-1999 ในการสังเกตุว่ามีสิ่งไหนที่เขาจำเป็นต้องปรับปรุงภายในสโมสรแห่งนี้บ้างและหลังจากปิดฤดูกาลนั้นเขาก็เริ่มปฏิบัติการทันทีโดยเขาเริ่มจากการควบคุมโภชนาการของนักเตะรวมถึงเน้นการซ้อมในส่วนของแท็คติกและเกมส์รับมากขึ้นนอกจากนี้กุนซือชาวฝรั่งเศสยังตัดสินใจขายกัปตันทีมในขณะนั้นอย่าง พอล อินซ์ ออกไปเพราะเขามองว่าอดีตกองกลางของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีบุคคลิกที่วางตัวเป็นใหญ่ในสโมสรและมันอาจส่งผลเสียต่อบรรยากาศภายในห้องแต่งตัวสตีฟ แม็คมานามานก็เป็นอีกคนที่โดยปล่อยตัวไปแบบฟรีๆให้กับ รีล มาดริด ซึ่งถึงแม้จะเป็นการสูญเสียที่หนักหนาพอสมควรแต่นั่นก็เป็นการเปิดทางให้อุลลิเยร์ได้สร้างทีมใหม่ในแบบที่ตนเองต้องการ
– โดยในฤดูกาล 1999 – 2000 เขาได้ซื้อ ซามี ฮูเปียและสเตฟาน อองโชซ์ มาเป็นปราการหลังตัวหลัก รวมถึงดึงตัวดีทมาร์ ฮามันน์มาเป็นมิลฟิลด์ตัวรับซึ่งการซื้อทั้ง 3 คนนี้ส่งผลให้ลิเวอร์พูลมีรากฐานเกมส์รับที่มั่นคง นอกจากนี้อุลลิเยร์ยังให้โอกาสดาวรุ่งอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น โดมินิก มัตเตโอ เดวิด ธอมป์สัน และ แดนนี่ เมอร์ฟี่แต่ 2 ดาวรุ่งที่ผลงานเข้าตามากที่สุดในยุคของกุนซือผู้นี้และกลายเป็นตำนานของสโมสรในเวลาต่อมาก็คือเจมี่ คาร์ราเกอร์ และ Captain Fantastic สตีเว่นเจอร์ราร์ดด้วยการผสมผสานระหว่างนักเตะใหม่และแข้งลูกหม้อของสโมสรทำให้ผลงานของทีมดีขึ้นโดยจบสูงขึ้น3 อันดับจากอันดับ 7 ในฤดูกาลก่อนหน้ามาเป็นอันดับ4 และเสียแค่ 30ประตู จากการลงเล่น 38 นัด
– ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของเชราร์อุลลิเยร์มาประสบความสำเร็จสุดๆในฤดูกาล 2000 – 2001 ซึ่งทีมสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยได้ 3 รายการ ได้แก่ ลีกคัพ เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ ในขณะที่ผลงานในพรีเมียร์ลีกหงส์แดงก็จบด้วยการเป็นอันดับ 3 ในปีนั้นและส่งผลให้ทีมได้กลับเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1985 ต่อมาในฤดูกาล 2001 – 2002 อุลลิเยร์ก็ยังนำลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องโดยเขาพาทีมจบอันดับเหนือกว่าคู่อริตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้นและมีคะแนนตามหลังแค่อาร์เซน่อลทีมเดียวในฤดูกาลนั้นอย่างไรก็ดีในช่วงระหว่างฤดูกาล 2001 – 2002 อุลลิเยร์นั้นแทบจะไม่ได้คุมทีมข้างสนามเลยเพราะเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจอย่างกระทันหันหลังจากที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในระหว่างช่วงพักครึ่งของเกมส์ที่พบกับลีดส์ ยูไนเต็ดในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2001 ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะกลับมาได้อีก5 เดือนให้หลังแต่สภาพร่างกายของเขาก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย
– เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2003 – 2004 เชราร์ อุลลิเยร์ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือของทีมหลังจากที่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปกับแข้งหลายรายเช่นสองนักเตะชาวเซเนกัลอย่างเอล ฮัดจิ ดิยุฟ และ ซาลิฟ ดิเยา รวมถึงคว้าตัวนักฟุตบอลที่เคยถูกขนานนามว่าเป็นนิวซีดาน(ปลอม)อย่างบรูโน่ เชย์รู มาร่วมทีม นอกเหนือจากนี้การพาทีมตามหลังแชมป์ในฤดูกาลนั้นอย่างอาร์เซน่อลถึง 30 แต้มก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเก็บกระเป๋าออกจากแอนฟิลด์ซึ่งคนที่มาแทนที่เขาก็คือราฟาเอลเบนิเตซนั่นเอง รวมแล้วอุลลิเยร์คุมลิเวอร์พูลทั้งหมด 6 ฤดูกาลและพาทีมคว้าแชมป์เมเจอร์ทั้งหมด 4 ครั้งได้แก่ ลีกคัพ 2 ครั้ง และเอฟเอคัพกับยูฟ่าคัพอย่างละครั้ง
ถึงแม้จะปิดฉากกับลิเวอร์พูลได้ไม่สวยนักแต่เหล่าเดอะ ค็อป ทุกคนก็คงไม่ลืมถึงความสำร็จที่กุนซือเลือดน้ำหอมบันดาลให้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สโมสรกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้งสุดท้ายทันเกมก็อยากใช้โอกาสนี้แสดงความเสียใจต่อการจากไปของเชราร์อุลลิเยร์อีกครั้งและขอให้วิญญาณของเขาไปสู่สุขคติ
support
แชร์เนื้อหา