หลังเกม แดงเดือด ศึก FA Cup | ผลการแข่งขัน | TunGame
จบไปแล้วนะครับสำหรับศึกแดงเดือดเวอร์ชั่นบอลถ้วย FA Cup ต้องถือว่าเป็นเกมที่สนุกเลยทีเดียวเนื่องจากผลัดกันนำผลัดกันตามและเป็นฝ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ตัวทีเด็ดอย่าง บรูโน่เฟอนันเดส ลงมาซัดฟรีคิกสุดสวยปิดท้าย ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะไปด้วยสกอร์ 3-2 และทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านเข้ารอบต่อไป โดยจะไปเจอ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ในรอบที่ 5
ส่วนลิเวอร์พูลฟอร์มยังสะดุดต่อเนื่องโดยชนะเพียง 1 จาก 7 เกมหลังสุดถึงแม้จะหยุดสถิติเกมรุกสุดย่ำแย่ที่ยิงไม่ได้มา 4 นัดติดต่อกันแต่นั่นส่งให้ทีมของ เจอร์เก้น คล๊อปป์ ต้องจอดที่รอบ 4 ของ FA cup เป็นครั้งที่ 4จากการคุมทีมหงส์แดงลงแข่ง FA cup ทั้งหมด 6 ครั้ง ถือเป็นถ้วยอาถรรพ์ของบอสหงส์แดงจริงๆ
แผนการเล่น – เอฟเอ คัพ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาในแผนเก่ง 4-2-3-1 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปลี่ยน 5 ตำแหน่งจากนัดที่ไปเยือนแอนฟิลด์ตามที่ให้สัมภาษณ์จริงๆว่าจะโรเตชั่นเกมนี้ โดยเป็น ดอนนี่ ฟาน เดอ เบคที่ได้รับโอกาสบ้างในบอลถ้วยและเป็นการพักปอด บรูโน่ไปในตัว ขณะที่มาร์คัสแรสฟอร์ด สกอตต์ แมคโทมิเนย์ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่กลับมาเป็นตัวจริง โดยดีนเฮนเดอร์สัน ได้โอกาสในบอลถ้วยต่อเนื่องอีกครั้ง
เจอร์เก้นคล๊อปป์ เปลี่ยน 5 ตัวเช่นกันจากนัดแพ้คาบ้านต่อเบิร์นลี่โดยไม่มีทางเลือกมากนักเนื่องจากนักเตะประสบอาการบาดเจ็บเยอะโดยเขาต้องการจุดเปลี่ยนในเกมนี้มากๆ ส่งสำรองอย่าง รีส วิลเลี่ยมส์ เจมส์มิลเนอร์ และเคอติส โจนส์ โดย โม ซาล่าห์และโรเบอโต้ เฟอมิโน่กลับมาเป็นตัวจริงหลังจากถูกพักในนัดเจอเบิร์นลี่
รูปเกม – เอฟเอ คัพ
รูปเกมเปิดมาก็ใส่กันเลยโดยแตกต่างจากนัดแอนฟิลด์สิ้นเชิงที่นัดนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฯเน้นตั้งรับต่ำ โดยในครึ่งแรกต่างมีจังหวะยิงกันหลายครั้งมีโอกาสยิงรวมกันถึง 18 ครั้งเป็นฝ่ายผีแดงที่ได้ลุ้นก่อนจาก เมสัน กรีนวู้ดสับๆแล้วยิงถึง 2 ครั้งแต่ก็ยิงไปติด อริสซงทั้ง 2 ครั้ง และไม่ทันไรก็เป็นลิเวอร์พูลที่ได้ประตูนำไปก่อน จากการเริ่มต้นของเฟอร์มิโน่รับบอลตรงกลางและแทงเข้าช่องระหว่าง ชอว์และลินเดอร์เลิฟ ให้ โม ซาล่าห์เข้าไปชิพนิ่มๆผ่าน ดีน เฮนเดอร์สัน นำ 1-0
แต่ก็เป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ 2 ประตูรวด จากจังหวะสวนกลับล้วนๆ และเป็นกองหลังลิเวอร์พูลพลาดเองทั้ง 2 ครั้งโดยเป็น มาร์คัสแรซฟอร์ดได้บอลทางกราบซ้ายและเปิดบอลไซร์ก้อยข้ามหัวกองหลังลิเวอร์พูลได้อย่างงงๆบอลมาถึง เมสัน กรีนวู้ดที่คราวนี้ไม่ต้องสับแล้ว พักบอลด้วยออกและยิงด้วยขวาเข้าไปอย่างคมตีเสมอเป็น1-1 และเริ่มต้นครึ่งหลังเพียง 3 นาที เมสัน กรีนวู้ด ส่งบอลขึ้นหน้าโดยตอนแรกดูเหมือน รีส วิลเลี่ยม จะตัดบอลได้อย่างง่ายๆแต่ดันสกัดวืดเสียอย่างนั้น และก็เป็น มาร์คัส แรซฟอร์ด ควบเข้าไปแปสวนทางอริสซงเข้าไป
2ลูกที่ได้จากการสวนกลับดูเหมือน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จงใจให้กองกลางหรือตัวจ่ายบอลของเขาส่งบอลอย่างนี้ โดยสถิติออกมาว่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ขึ้นบอลทางปีกซ้ายถึง 50% เนื่องจากเป็นพื้นที่ของ รีส วิลเลี่ยส์และ เทรนท์ที่ดูอ่อนกว่าทางซ้ายมาก
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ไม่ยอมแพ้ โดยจังหวะนี้ต้องโทษ คาวานี่เต็มๆจากการส่งบอลพลาดไปให้ลิเวอร์พูลตัดบอลมาได้และเล่นกันอย่างรวดเร็วและเป็น โมซาล่าห์ คนดีคนเดิมที่ซัดเข้าไปอย่างคมเสมอ 2-2
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ไม่รอช้า ส่งบรูโน่ลงมาแก้เกม มาแทน ฟาน เดอ เบค ที่วันนี้ก็ยังเล่นไม่ออกและก็ไม่ผิดหวัง บรูโน่จัดการซัดฟรีคิกให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ 3-2 โดยท้ายเกมลิเวอร์พูลไม่ได้มีจังหวะกดดัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่าไหร่และเกือบโดน 4-2จากการโหม่งของ คาวานี่ ที่โหม่งไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย และจบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายชนะลิเวอร์พูลจนได้และเป็นครั้งแรกที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คุมทีมชนะในศึกแดงเดือด
Man of the match: มาร์คัส แรซฟอร์ด
แรซฟอร์ดกลับมาเฉิดฉายอีกครั้งหลังได้เล่นในตำแหน่งเก่งคือกองหน้าฝั่งซ้าย หลังจากนัดที่แอนฟิลด์ต้องหลีกทางให้มาร์ซิอาลและเขาต้องเล่นกองหน้าเพื่อเล่นจังหวะสวนกลับ และวันนี้เขาประสานงานกับลุค ชอว์ได้อย่างดีเยี่ยม และจากการที่เขาทั้งยิงทั้งจ่าย ทำให้ได้แมน ออฟ เดอะแมทต์ไปในวันนี้
Comeback king – เอฟเอ คัพ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเป็นทีมที่ตายยากเช่นเคยในปีนี้ โดยสถิติออกมาว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่กลับมาจากสกอร์ตามหลังได้ถึง 8 นัดจาก 14 เกมในทุกถ้วยคิดเป็น 57% โดยตัวเลขขึ้นมาก้าวกระโดดจาก 2 ปีก่อนในยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ comebackอยู่ที่ราวๆ 9-14% เท่านั้น ในยุคนั้นถ้าทีมโดนนำเมื่อไหร่แฟนบอลปิดทีวีได้เลย และไม่น่าแปลกใจที่สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังบุรุษนามว่า บรูโน่ เฟอร์นานเดส เข้าสู่ทีม
เกร็ดหลังเกม – เอฟเอ คัพ
-เป็นครั้งที่ 10 แล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น๊อคลิเวอร์พูลตกรอบในศึก FA Cup โดยมีทีมเดียวที่น๊อคทีมเดียวกันได้มากที่สุดก็คือลิเวอร์พูลนั่นเอง (ลิเวอร์พูลเขี่ยเอฟเวอร์ตันตกรอบไป 12 ครั้ง)
-ลิเวอร์พูลยังไม่ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็น 15 เกมติดต่อกัน (ชนะ 4 แพ้ 10)
-ลิเวอร์พูลแพ้ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว
support
แชร์เนื้อหา