ร้ายกาจนักนะ โควิด-19 | TunGame
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปี 2020 เป็นปีที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายอันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการใช้ชิวิตประจำวันรวมถึงการทำงานหารายได้ต่างๆซึ่งกีฬาฟุตบอลก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ด้วย ดังนั้นทันเกมจึงจะมาสรุปประเด็นสำคัญที่เจ้าไวรัสตัวนี้ได้แพร่ไว้ให้กับวงการลูกหนังตลอดปีนี้กัน
รายได้ที่หดหาย ในตลาด พรีเมียร์ลีก
อย่างที่ทราบดีว่าหลังจากเกิดการแพร่ระบาดรายได้ของแต่ละสโมสรก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดโดยสมาคมสโมสรฟุตบอลลีกยุโรปหรือ ECA ประมาณการว่าในฤดูกาล 2019-2020 และฤดูกาล 2020-2021 สโมสรในยุโรปจะสูญเสียรายได้รวมกันไปทั้งหมด 4 พันล้านยูโร
ซึ่งรายได้ที่เสียไปส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการที่แฟนบอลไม่สามารถเข้ามาชมเกมส์ในสนามได้เช่น รายได้จากตั๋วเข้าชมเกมส์และการขายของที่ระลึกต่างๆในวันแข่งขัน โดย ECA
คาดการณ์ว่าเงินที่ได้จากส่วนนี้จะลดลงเป็นจำนวนถึง 1.5 พันล้านยูโรจาก 2 ฤดูกาลที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ลีกในยุโรปส่วนใหญ่ก็ตัดสินใจลดค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของธุรกิจฟุตบอลในปัจจุบันโดยพรีเมียร์ลีกลดค่าสิขสิทธิ์ไป 360 ล้านยูโร, บุนเดสลีกา ลดค่าลิขสิทธิ์ไป 200 ล้านยูโรและยูฟ่าที่ลดค่าลิขสิทธิ์ลงไปถึง 575 ล้านยูโรเนื่องจากผู้ดำเนินธุรกิจถ่ายทอดสดก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
จากสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลให้หลายสโมสรตัดสินใจดำเนินการแก้ไขต่างๆอาทิ อาร์เซน่อลที่ลดจำนวนพนักงานประจำรวมถึงลดเงินเดือนสต๊าฟโค้ชและนักเตะลง 12.5% จนถึงกันยายนปี 2021 ในขณะที่สเปอร์สก็ต้องกู้เงินจำนวน 170 ล้านปอนด์จากทางการอังกฤษเพื่อพยุงสถานการณ์การเงินของสโมสรอย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมและเข้าใจง่ายมากที่สุดก็คงเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการซื้อขายนักเตะของทีมใหญ่ๆเช่นในกรณีของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูลที่ออกมายอมรับว่าโควิด-19 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สโมสรพลาดการคว้าตัว ติโมแวร์เนอร์
เป้าหมายหลักมาร่วมทีม นอกจากนี้ทีมอย่างราชันขุดขาว รีลมาดริดยักษ์ใหญ่ในศึกลาลีกา สเปนที่ปกติจะใช้เงินอย่างอู้ฟู้ในการซื้อซุปเปอร์สตาร์มาประดับสโมสรก็ไม่ขยับซื้อผู้เล่นใหม่เลยในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาแถมด้วยเคสของทีมมหาอำนาจในศึกกัลโชเรีย อา อิตาลีอย่างเจ้าม้าลายยูเวนตุสที่ตัดสินใจดึงตัวอันเดรียปีร์โล่เข้ามาเป็นกุนซือใหม่ของสโมสร
หลังจากที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งโค้ชยู-23 ของทีมได้ไม่ถึง 10 วัน โดยอดีตมิลฟิลด์สุดคลาสสิคผู้นี้ได้รับค่าเหนื่อยแค่ปีละ 1.8 ล้านยูโรต่อปีเท่านั้นซึ่งน้อยกว่า เมาริซิโอซาร์รี่ กุนซือคนก่อนหน้าถึงประมาณ 4 เท่าดังนั้นเรื่องค่าเหนื่อยก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้บอร์ดบริหารของยูเวนตุสเลือกปีร์โล่เข้ามากุมบังเหียนเพื่อประคับประคองสภาวะทางการเงินของสโมสร
แทคติกที่เปลี่ยนไปในวง พรีเมียร์ลีก
แฟนบอลทุกคนคงเห็นพ้องต้องกันว่าฟุตบอลสมัยใหม่เป็นฟุตบอลที่เน้นการเพรสซิ่งสูงบีบเข้าหาคู่แข่งโดยแทคติกดังกล่าวออกดอกผลิผลให้เห็นอย่างมากในฤดูกาล 2019 -2020 ยกตัวอย่างเช่นในอังกฤษที่การปลุกปั้นเกเก้นเพรสซิ่งของเจอร์เก้น คล็อปป์
ส่งผลให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี ชนิดที่สร้างสถิติเป็นทีมที่คว้าแชมป์เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่วนในอิตาลีก็มีทีมเล็กๆอย่างอตาลันต้าที่ใช้แทคติกการเพรสซิ่งด้านบนแบบตัวต่อตัวที่ทำให้พวกเขาก้าวมาเป็นทีมระดับแนวหน้าของกัลโช่เซเรีย อา ในช่วง 1-2 ฤดูกาลล่าสุดรวมถึงสร้างเซอร์ไพรส์ในเวทีฟุตบอลยุโรปและท้ายที่สุดก็คงเป็นการเข้ารอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ที่ 3 ใน 4 ของผู้จัดการทีมเป็นชาวเยอรมันอย่างยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ (แอร์เบ ไลป์ซิก) , โธมัสทูเคิ่ล (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง) และ ฮันซี่ ฟลิค (บาเยิร์น มิวนิค) ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในแนวทางการเล่นฟุตบอลเพรสซิ่งสูงของเยอรมันในฤดูกาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามด้วยการแพร่ระบาดของเจ้าไวรัส โควิด-19 ทำให้ฤดูกาลนี้ทุกสโมสรมีการเตรียมทีมในช่วงพรีซีซั่นที่น้อยลงกว่าเดิมเป็นอย่างมากยกตัวอย่างเช่นแมน ยูไนเต็ดที่มีเวลาเตรียมทีมแค่ 10 วันก่อนฤดูกาลจะเริ่มต้นซึ่งนั่นส่งผลกระทบต่อการเล่นเกมส์เพรสซิ่งสมัยใหม่โดยตรงเพราะแทคติกนี้ต้องการความฟิตและความเข้าใจจากนักเตะสูงประกอบกับที่ฤดูกาลนี้สโมสรส่วนใหญ่ต้องเล่น 2 แมทช์ต่อสัปดาห์ก็ยิ่งทำให้นักเตะมีความเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ
ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมในช่วงก่อนเบรคทีมชาติในช่วงเดือนตุลาคมค่าเฉลี่ยการยิงประตูในพรีเมียร์ลีกสูงถึงนัดละ 3.79 ประตู อย่างเช่นเกมส์ที่ ลิเวอร์พูล บุกพ่ายแอสตันวิลล่าถึง 7-2 ซึ่งนักเตะหงส์แดง ลิเวอร์พูล ไม่สามารถทำการเพรสซิ่งใส่คู่แข่งได้เลยในวันนั้น และเกมส์ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดรังพ่ายเลสเตอร์ ซิตี้ไป 2-5 ซึ่งในเกมส์นั้นนักเตะเรือใบสีฟ้าดูเนือยๆไม่กดดันเข้าใส่คู่แข่งเวลาเสียบอลอย่างที่เคยจึงทำให้นักเตะทีมสุนัขจิ้งจอกเล่นเกมส์สวนกลับได้อย่างง่ายดาย
โดยหลังจากนั้นทุกทีมก็เริ่มเล่นกันอย่างระมัดระวังขึ้นซึ่งหลักฐานก็คือค่าเฉลี่ยการยิงที่ตกลงมาเหลือนัดละ2.91ประตู นอกจากนี้ตัวเลขการเพรสซิ่งเฉลี่ยของทุกทีมในฤดูกาลนี้ก็ลงลดไปจากฤดูกาลที่แล้วถึง23% จาก 173.7 เหลือ 134.2 เพรสซิ่งต่อเกมส์ โดยที่ลีดส์ยูไนเต็ดเป็นทีมที่ทำการเพรสซิ่งเยอะที่สุดในฤดูกาลนี้ด้วยสถิติ 164.1 เพรสซิ่งต่อเกมส์
ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกใจคือถ้าเอาสถิตินี้ไปเทียบกับฤดูกาลที่แล้วลีดส์มีตัวเลขมากกว่าแค่ 4 ทีมเท่านั้น ด้วยเทรนด์การเล่นที่เปลี่ยนจากการเพรสซิ่งหนักๆเป็นเกมส์ที่รอจังหวะให้คู่แข่งผิดพลาดและลงโทษด้วยการใช้เกมส์สวนกลับก็ส่งผลให้กุนซืออย่างโจเซ่มูรินโญ่กลับมาสร้างชื่ออีกครั้งหลังจากที่ผู้จัดการทีมไก่เดือยทอง ท็อตแนมฮ็อทสเปอร์ เก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำด้วยสไตล์การเล่นที่เขายึดมั่นมาตลอดก่อนที่จะมาแผ่วในช่วงกลางเดือนธันวาคมดังนั้นไวรัสโควิด-19 ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แทคติกฟุตบอลในฤดูกาลนี้เปลี่ยนไปเข้าทางฟุตบอลที่อาศัยเกมส์รับและโอกาสฉาบฉวยมากขึ้น
หลังจากนี้เราก็คงต้องมาดูกันว่าเจ้าไวรัสโควิด-19 จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการลูกหนังอีกบ้างหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดดูเหมือนจะกลับมารุนแรงอีกครั้งและนั่นก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์กึ๋นของกุนซือรวมถึงบอร์ดบริหารด้วยว่าจะสามารถวางแผนรับมือกับสภาพความไม่ปกติของฤดูกาลนี้ได้มากน้อยแค่ไหนสุดท้ายนี้ทันเกมก็อยากจะขอให้แฟนเพจทุกท่าน ดูแลตัวเอง รักษาสุขอนามัยให้ถูกต้อง และสวัสดีปีใหม่ครับ
support
แชร์เนื้อหา