นักเตะบราซิลคือนักเตะต่างชาติที่ลงเล่นมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก | TunGame
พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ถือเป็นยอดลีกที่มีความตื่นเต้นเร้าใจ และมีการแข่งขันที่สูงมากๆ ซึ่งสังเกตุได้จากทีมใหญ่มีโอกาสที่จะพลาดท่าให้ทีมเล็กได้ตลอดเวลาด้วยความเป็นลีกฟุตบอลที่มีความสนุกและบันเทิงอันดับ 1 ของยุโรปจึงทำให้ได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วทุกมุมโลก มีเม็ดเงินหลังไหลเข้ามาอย่างมากมายทั้งจากนักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อสโมสร รวมถึงสปอนเซอร์ที่เข้ามาสนับสนุนขึ้นชื่อคาดหน้าอก คาดแขน ป้ายข้างสนาม หรือแม้กระทั่งชื่อสนามด้วยเหตุนี้เองทีมใน พรีเมียร์ลีก จึงมีเงินที่จะเฟ้นหานักเตะฝีเท้าดีเข้ามาเสริมแกร่งให้กับทีมตัวเองไม่ว่าจะเป็นแข้งสัญชาติอังกฤษหรือ แข้งต่างชาติ ดังนั้นทีมงาน ทันเกม จะพาทุกคนมาส่องสถิติการลงสนามใน พรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมาว่านักเตะที่เล่นอยู่ในลีกที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกนั้นมาจากชาติไหนซะเป็นส่วนใหญ่
1.อังกฤษ 37.98% (285,193 นาที)
แน่นอนว่าชาติที่มาเป็นอันดับ 1คงหนีไม่พ้นสัญชาติอังกฤษเพราะนี่คือการแข่งขันในลีกอังกฤษโดยถ้าดูจากผู้เล่นในทีมชาติอังกฤษที่กำลังทำการแข่งขันในฟุตบอลยูโร 2020 อยู่ในขณะนี้นั้นมีนักเตะเพียง 3 รายเท่านั้นที่ไม่ได้เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกนั่นก็คือ คีแรน ทริปเปียร์ (แอตเลติโก มาดริด) เจดอน ซานโช่ (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์)และจู๊ด เบลลิงแฮม (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์)
2.บราซิล 5.86% (44,015 นาที)
จำนวนนักเตะบราซิลที่ลงทะเบียนกับสโมสรพรีเมียร์ลีกนั้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจาก11 รายในปี 2018 เป็น27 รายในฤดูกาลที่ผ่านมาจึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกที่จะเข้ามาเป็นอันดับ 2 และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือจากนักเตะทีมชาติบราซิล 23 คนที่กำลังแข่งขันโคปาอเมริกาอยู่ในขณะนี้มีถึง 9 รายด้วยกันที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เช่น อลิสซอนเบ็คเกอร์ (ลิเวอร์พูล) เอแดร์ซอน (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ติอาโก้ ซิลวา (เชลซี)เฟร็ด (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) รวมถึง ริชาร์ลิซอน (เอฟเวอร์ตัน)
3.ฝรั่งเศส 5.51% (41,344 นาที)
เป็นชาติที่น่าจะเป็นตัวเต็งระดับต้นๆในทุกการแข่งขันที่เข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 2018 (แชมป์) หรือยูโร 2020 ที่เพิ่งพลาดแพ้การดวลจุดโทษกับ ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์มาหมาดๆ นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังเป็นชาติที่ส่งออกนักเตะไปโลดแล่นในยอดลีกทั่วยุโรปมากมายซึ่ง พรีเมียร์ลีก เองก็เป็นหนึ่งในนั้น นำโดย อูโก้ โยริส (ท็อตแน่ม สเปอร์ส) ลูกาส์ดีญ (เอฟเวอร์ตัน) ปอล ป็อกบา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้(เชลซี) ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจคือใน 26 พลพรรคน้ำหอมที่เข้าร่วมฟุตบอลยูโร2020 นั้น มีนักเตะเพียง 3 คนที่เล่นอยู่ในลีกฝรั่งเศสได้แก่ สตีฟ ม็องด็องด้า (โอลิมปิก มาร์กเซย) เพรสแนล คิมเพมเบ้ (ปารีส แซงต์ ชาร์กแมง)และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (ปารีส แซงต์ ชาร์กแมง)
4.สเปน 5.31% (39,874 นาที)
ทีมที่เพิ่งเข้าสู่รอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโร2020 นั้นเข้ามาเป็นอันดับ 4 โดยนักเตะแดนกระทิงดุถือเป็นที่คุ้นเคยกันดีสำหรับแฟนบอลพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังไม่ว่าจะเป็น ดาบิดซิลบา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) เชส ฟาเบรกาส (อาร์เซน่อล) และ เฟร์นานโด ตอร์เรส(ลิเวอร์พูล) หรือถ้าเป็นยุคนี้ก็จะเป็น ดาบิด เด เกอา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)ติอาโก้ อัลคันทาร่า (ลิเวอร์พูล) รวมถึง เฟร์ราน ตอร์เรส (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
5.โปรตุเกส 4.83% (31,326 นาที)
เรียกได้ว่า นึกถึงโปรตุเกสต้องนึกถึง วูล์ฟแฮมป์ตัน ก่อนแน่นอน เพราะยอดทีมหมาป่าได้นำเข้านักเตะจากโปรตุเกสมาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นชูเอา มูตินโญ่ รูเบน เนเวส หรือ เนลสัน เซเมโด้ นอกจากวูล์ฟแฮมป์ตันแล้วก็ยังมีรูเบน ดิอาส (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) บรูโน่ แฟร์นันด์ส (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ ดิโอโก้โชต้า (ลิเวอร์พูล) ที่เป็นนักเตะจากแดนฝอยทองที่ค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ชาติอื่นๆที่น่าสนใจ
ในลีกสูงสุดอังกฤษก็ยังมีนักเตะเอเชียที่ได้ลงสนามอยู่จำนวนหนึ่งและที่คุ้นหูคนไทยก็น่าจะเป็นซน ฮึง-มิน (ท็อตแน่มสเปอร์ส) และ ทาคูมิมินามิโนะ (ลิเวอร์พูล / เซาธ์แฮมป์ตัน)นอกจากนี้ในฤดูกาลที่ผ่านมา เรายังได้เห็นนักเตะไทยมีชื่ออยู่บนซุ้มม้านั่งสำรองในเกมพรีเมียร์ลีก1 คนด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือ เจ้า “กัน”ธณวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร (เลสเตอร์ ซิตี้)
กฎ “โฮมโกรน”
ตั้งแต่ฤดูกาล 2010/2011 เป็นต้นมาพรีเมียร์ลีก ไม่ได้กำหนดตายตัวว่านักเตะที่สโมสรจะต้องลงทะเบียน 25 คนนั้นจำเป็นต้องมีนักเตะสัญชาติอังกฤษจำนวนเท่าใดแต่แค่กำหนดว่า 8 จาก 25 คน ต้องเป็นนักเตะโฮมโกรน (Home Grown) ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นนักเตะที่ฝึกอยู่ในอังกฤษอย่างน้อย3 ปี ก่อนอายุ 21 ปีซึ่งนั่นส่งผลให้มีสโมสรมากมายในลีกอังกฤษที่ชิงซื้อตัวดาวรุ่งมาพัฒนาฝีเท้าในอคาเดมี่ของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กนอกจากนี้กฎที่ว่ายังเป็นอีกปัจจัยในการทำให้มีนักเตะจากหลากหลายชาติตบเท้าเข้ามาเล่นในลีกอังกฤษเพราะแต่ละทีมสามารถมีผู้เล่นต่างชาติได้มากสุดถึง17 คนเลยด้วยกัน(ไม่นับนักเตะโฮมโกรน) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือการทำให้นักเตะอังกฤษมีโอกาสในการเล่นกับนักเตะที่มีความสามารถจากชาติอื่นๆและพัฒนาความสามารถของตัวเองในการแข่งขันเวทีนานาชาติอย่างฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยูโร
support
แชร์เนื้อหา