93:20 : โมเมนต์ประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับตำนาน ‘AGUEROOOOO’ | TunGame
ในวงการฟุตบอลตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์อยู่เยอะแยะมากมาย แต่ถ้าจะให้แต่ละทีมพูดถึงช่วงเวลาดังกล่าวของตนเองมาซัก 1 อย่าง สำหรับแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คงไม่พ้นตัวเลข 93:20 ในตำนานเมื่อฤดูกาล 2011/12 ที่เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์สโมสรไปเลยทีเดียว

ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 2011 เซร์คิโอ อเกวโร่ ได้จรดน้ำหมึกเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเป็นทางการด้วยค่าตัวราวๆ 38 ล้านปอนด์ และได้รับเสื้อหมายเลข 16 เป็นหมายเลขประจำตัว เนื่องจากหมายเลข 10 ที่เขาเคยใส่กับ แอตเลติโก้ มาดริด ก่อนที่จะย้ายมานั้้นมี เอดิน เชโก้ เป็นเจ้าของอยู่

โรแบร์โต้ มันชินี่ ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวลานั้นตัดสินใจให้ อเกวโร่ ลงสนามเป็นเกมแรกในฐานะตัวสำรองพบกับ สวอนซี ซิตี้ ในนาทีต่อมาหลังจาก เอดิน เชโก้ เบิกสกอร์แรกในนาทีที่ 57 ปลดล็อกความอึดอัดของเกมได้ อเกวโร่ ใช้เวลาทัั้งสิ้น 10 นาทีก่อนที่เขาจะสามารถทำประตูแรกในสีเสื้อ ‘เรือใบสีฟ้า’ ถัดจากนั้นอีกเพียงแค่ 4 นาที เขาก็สามารถทำแอสซิสต์แรกจากการไหลให้ ดาบิด ซิลบา ทำประตูในนาทีที่ 71 และปิดท้ายเกมกับการยิงประตูที่ 2 ในนาทีที่ 90+1 พาทีมจบนัดแรกของฤดูกาลด้วยสกอร์ 4-0
เซร์คิโอ อเกวโร่ ใช้เวลาเพียง 30 นาทีแรกใน พรีเมียร์ลีก ของเขาประกาศศักดาว่าเขาได้เริ่มต้นเขียนประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรแห่งนี้แล้ว
ในปีแรกที่เขาย้ายเข้ามาสู่รั้ว เอติฮัด สเตเดี้ยม เขายังคงถูกคำครหาจากการที่ทุกคนยังไม่สามารถสลัดภาพจำนักเตะอเมริกาใต้ในเรื่องความไม่มีระเบียบวินัย ปรับตัวไม่ได้ มักสร้างปัญหาให้ทีม ฯลฯ อีกทั้งยังมีคำดูถูกจากแฟนบอลอีกหลายส่วนที่มองว่าเขามาเพื่อเงินล้วน เพราะ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้เศรษฐีจากตะวันออกกลางมาเทคโอเวอร์ให้ค่าเหนื่อยที่สูงมากๆ ณ ขณะนั้น (200,000 ปอนด์/สัปดาห์) ซึ่งนั่นก็อาจจะไม่ผิด แต่ก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

อเกวโร่ เติบโตขึ้นมาในย่านสลัมของ บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ที่เจ้าตัวบอกเองว่ากว่า 90% ของเพื่อนของเขาอยู่ในคุกเพราะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และพ่อของเขาที่เป็นคนขับแท็กซี่ก็สามารถทำเงินได้เฉลี่ย 20 ปอนด์/สัปดาห์เพียงเท่านั้น การคว้าโอกาสในการทำเงินหาเลี้ยงครอบครัวที่มากขึ้น 1 หมื่นเท่าก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล
การมารับค่าเหนื่อยสูงในสโมสรที่เป็น 1 ในคู่แข่งสโมสรที่เขาชื่นชอบอย่าง ลิเวอร์พูล ทำให้มีหลายคนคิดว่าเขาใช้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น เล่นไม่ดีก็นั่งรอเงินเข้าไปแบบไม่ต้องเหนื่อย เล่นดีก็มีโอกาสไปทีมที่มีประวัติศาสตร์มากกว่า แต่นั่นไม่ใช่กับคนที่ชื่อว่า เซร์คิโอ อเกวโร่
ตลอดฤดูกาลแรกของเขา เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ปรับตัวกับ พรีเมียร์ลีก ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถทำผลงานได้ถึง 21 ประตูกับ 10 แอสซิสต์ใน 33 เกมที่ลงเล่นก่อนที่จะถึงเกมสุดท้ายกับการตัดสินแชมป์ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดทั้งฤดูกาลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่นำจ่าฝูงมาพักใหญ่ๆ ของฤดูกาลอยู่ๆ ก็สะดุดกระทันหัน เสมอกับ สโต๊ค ซิตี้ และ ซันเดอร์แลนด์ และมาแพ้ อาร์เซน่อล 1-0 ในเกมต่อมา จนทำให้ทีมตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 8 แต้มในขณะที่เหลือเกมให้เล่นอีกเพียง 6 เกม แต่ แมนฯ ซิตี้ ก็ผลักดันสร้างความสม่ำเสมอชนะ 5 นัดรวดเก็บแต้มมาได้เท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด จนต้องมาตัดสินกันในนัดสุดท้ายของฤดูกาล
ควีนปาร์ค เรนเจอร์ ที่ต้องการเพียง 1 คะแนนเพื่อที่จะได้อยู่รอดใน พรีเมียร์ ลีก ต่อไปต้องสู้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียง 10 คนหลัง โจอี้ บาร์ตัน โดนใบแดงจากการเข้าหนักใส่ เซร์คิโอ อเกวโร่ และเมื่อเวลาเดินมาถึงนาทีที่ 90 เป็น ควีนปาร์คฯ ที่กำลังนำอยู่ 2-1 ส่วนอีกสนามที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ได้สำเร็จ 1-0 ทำให้แต้มนำ แมนฯ ซิตี้ อยู่ 3 คะแนน แฟนๆ ‘เรดเดวิล’ กำลังรอผลการแข่งขันและหวังให้ทีมรักของตัวเองชูถ้วยป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
ตัดภาพมาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่กำลังแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างหนัก และกรรมการที่สี่ก็ถือป้ายบอกเวลาทดเจ็บ 5 นาที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องการ 2 ประตูเพื่อที่จะได้มีแต้มเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่จะเอาชนะได้ด้วยประตูได้เสียที่มากกว่า
ในนาทีที่ 90+2 ดาบิด ซิลบา เปิดให้ เอดิน เชโก้ โหม่งเข้าประตูตีเสมอ 2-2 ได้สำเร็จ ความรู้สึกในสนามเปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็น ‘เชื่อมั่น’ พวกเขายังเหลือเวลาอีก 2-3 นาที ขอแค่ประตูเดียวเท่านั้น
“Manchester City are still alive here”
ประโยคที่ มาร์ติน ไทเลอร์ ผู้บรรยายในเกมนั้นพูดขึ้นก่อนที่หลังจากนั้นจะเป็นประโยคประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล
“Balotelli…
ทุกคนในสนามลุกขึ้นยืนเมื่อ อเกวโร่ ฝากบอลไว้ที่ มาริโอ บาโลเตลลี่ ก่อนที่เขาจะแตะกลับมาให้ อเกวโร่ เลี้ยงผ่านกองหลัง ควีนปาร์คฯ ไป 1 คนและยิงเข้าไปกลายเป็นประตูชัยในนาทีที่ 90+4 หรือนาทีที่ 93.20 หากจะพูดให้ถูกต้อง ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกแซง 3-2 คว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ครั้งแรกและเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปีจากผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 8 ประตู
“I swear you’ll never see anything like this, ever again. So watch it, drink it in.”
และ มาร์ติน ไทเลอร์ ก็พูดถูก เราไม่มีทางได้เห็นโมเมนท์การยิงประตูที่ตัดสินแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ในนาทีสุดท้ายแบบนี้อีกแน่นอน
แม้ว่าปัจจุบัน เซร์คิโอ อเกวโร่ จะแขวนสตั๊ดไปแล้วตั้งแต่วัย 33 ปีด้วยโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ แต่ประตูนี้ในฤดูกาลแรกของเขากับ แมนฯ ซิตี้ จะยังคงสดใหม่ในความทรงจำของใครหลายๆ คน
Team Social
แชร์เนื้อหา