5 สิ่งที่คุณ(อาจยัง)ไม่รู้เกี่ยวกับ “ไมเคิ่ล คาร์ริค” | TunGame
“ไมเคิ่ล คาร์ริค” ถือเป็นหนึ่งในตำนานของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” และถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับที่คนให้ความสนใจเท่ากับยอดกองกลางแห่งเกาะอังกฤษในยุคเดียวกันอย่าง “สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด”, “แฟรงค์ แลมพาร์ด”, หรือ “พอล สโคลส์ “ แต่หากได้ถามเหล่าคนในวงการฟุตบอลหรือแฟนบอลที่ติดตามทีมปีศาจแดงมาโดยตลอด จะรู้ได้ว่า “ไมเคิ่ล คาร์ริค” นั้นมีความสำคัญต่อทีมเพียงใดในขณะที่เขายังค้าแข้งให้กับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด“
และเพื่อเป็นการต้อนรับการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมครั้งแรกในชีวิตของ ไมเคิ่ล คาร์ริค ในฐานะ ผู้จัดการทีม(รักษาการ) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทันเกม ขอเสนอ “5 สิ่งที่คุณ(อาจยัง)ไม่รู้เกี่ยวกับ ไมเคิ่ล คาร์ริค”

1. “ไมเคิ่ล คาร์ริค” คือสาวก “นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด” โดยกำเนิด
ไมเคิ่ล คาร์ริค เกิดในครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่เมือง วอลเซนด์ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับทีมชื่อดังแห่งประเทศอังกฤษอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทำให้เขานั้นมีความรักและหลงใหลใน ทีมสาลิกาดง ตั้งแต่จำความได้
แต่ถึงกระนั้น ไมเคิ่ล คารร์ริค ก็ไม่เคยได้มีโอกาสได้รับใช้สโมสรอันเป็นที่รักในวัยเยาว์ของเขา เนื่องจากสโมสรแรกที่หยิบยื่นสัญญาฟุตบอลอาชีพให้แก่ คาร์ริค ได้แก่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในขณะที่เขามีอายุได้ 16 ปี ก่อนที่เส้นทางลูกหนังจะพานักเตะจากแดนอีสานของอังกฤษผู้นี้ให้ย้ายไปเล่นกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในภายหลัง
2. “ไมเคิ่ล คาร์ริค” ยอมตกชั้นไปพร้อม “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด”
ในฤดูกาล 2002/2003 ไมเคิ่ล คาร์ริค ต้องพบกับความชอกช้ำเมื่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ของเขาต้องตกชั้นจากศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลงไปเล่นในศึก ดิวิชั่น 1 แทน
การตกชั้นในครั้งนั้น ทำให้ผู้เล่นตัวหลักของทีมต่างสละเรือเพื่อโอกาสค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต่อไป ไม่ว่าจะเป็น โจ โคล ที่ย้ายไป เชลซี, เจอร์เมน เดโฟ ที่ย้ายไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หรือ เฟเดอริก คานูเต้ ที่ย้ายไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เช่นกัน
แม้เพื่อนร่วมทีมตัวหลักจะย้ายหนีออกจากทีมไปหมด แต่ ไมเคิ่ล คาร์ริค กลับยอมตกชั้นไปพร้อมกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เพื่อที่ว่าต้องการจะช่วยสโมสรที่ให้โอกาสการเล่นฟุตบอลอาชีพแก่เขาเป็นทีมแรก กลับคืนสู่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้ได้ นับเป็นเรื่องที่กล้าหาญและน่าประทับใจแฟน ๆ ขุนค้อนมาก ๆ เพราะในตอนนั้น ไมเคิ่ล คาร์ริค ก็มีดีกรีถึงขั้นเคยถูกเรียกติด ทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่มาแล้ว แต่ก็ยอมตกชั้นไปพร้อมสโมสรด้วยความจงรักภักดี
น่าเสียดายที่ ไมเคิ่ล คาร์ริค ไม่สามารถพา เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กลับคืนสู่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ทันทีในปีนั้น แม้จะเข้าไปถึงรอบชิงเพลย์ออฟแล้วก็ตาม ทำให้ตัว ไมเคิ่ล คาร์ริค ต้องจำใจย้ายออกจากทีมหลังจบฤดูกาล 2003/2004 ไปร่วมทัพ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เพื่อการได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกครั้ง
3. “ไมเคิ่ล คาร์ริค” เคยเกือบได้สืบทอดตำนานเบอร์ 7 ของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
ในปี 2009 ตำนานหมายเลข 7 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้อำลาถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพื่อไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก ณ ขณะนั้น ทำให้หมายเลข 7 ที่เคยถูกตำนานอย่าง เอริก คันโตน่า, เดวิน เบ็คแฮม และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต้องการคนสานต่อ และก็กลายเป็น ไมเคิ่ล โอเว่น ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในปีนั้นรับช่วงต่อไป
ต่อมาในภายหลัง ไมเคิ่ล โอเว่น ได้เปิดเผยว่านอกจากตัวเขาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ทาบทามให้สวมหมายเลข 7 ต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แล้ว ยังมี ไมเคิ่ล คาร์ริค อีกคนที่ตำนานกุนซือได้ทาบทามอีกด้วย
ไมเคิ่ล โอเว่น เล่าว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เรียกตัวเขาและ ไมเคิ่ล คาร์ริค ไปคุยพร้อมก่อน โดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้บอกกับ โอเว่น ว่าต้องก่อนให้เขาใส่เสื้อเบอร์ 7 ต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพราะเชื่อว่า ไมเคิ่ล โอเว่น จะรับกับความกดดันนี้ได้ ซึ่งหาก ไมเคิ่ล โอเว่น ไม่อยากใส่เบอร์ 7 เขาจะยกมันให้กับ ไมเคิ่ล คาร์ริค แต่ ไมเคิ่ล โอเว่น ก็รับหมายเลข 7 ด้วยความเต็มใจ
จากเรื่องเล่าของ ไมเคิ่ล โอเว่น แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งยอดผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังให้คุณแค่แก่ ไมเคิ่ล คาร์ริค มากขนาดไหน ถึงขนาดพร้อมที่จะมอบหมายเลข 7 อันศักดิ์สิทธิ์ของทีมให้แก่ กองกลางจอมผู้ทองหลังผี ไปสานต่อ
4. “ไมเคิ่ล คาร์ริค” คว้าทุกแชมป์กับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
ไมเคิ่ล คาร์ริค รับใช้สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นระยะเวลา 12 ฤดูกาลตั้งแต่ปี 2006 – 2018 และสามารถคว้าแชมป์ร่วมกับทีมปีศาจแดงได้ถึง 17 แชมป์ ในช่วงเวลาดังกล่าว
ไมเคิ่ล คาร์ริค เป็นผู้เล่นเพียงไม่กี่คนที่สามารถกวาดแชมป์ได้ทุกแชมป์ที่เคยลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดย 17 แชมป์ที่ว่า ประกอบไปด้วย แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 5 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย, แชมป์ฟุตบอลลีก คัพ 2 สมัย, แชมป์คอมมิวนิตี้ชิลด์ 6 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, แชมป์ยูโรป้า ลีก 1 สมัย และแชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย
และอีกหนึ่งเกียรติยศที่ล้ำค่าสำหรับ ไมเคิ่ล คาร์ริค คือรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำสโมสร ฤดูกาล 2012/2013 โดยในฤดูกาลนั้น ถึงแม้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ จะซัดไปถึง 26 ประตูในลีก ช่วยให้ทีมปีศาจแดงคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นการอำลาตำนานเทรนเนอร์อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่เพื่อนร่วมทีมต่างร่วมใจลงคะแนนให้ ไมเคิ่ล คาร์ริค เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของทีม เพราะทุกคนต่างรู้ดีถึงความสำคัญของเขาต่อทีม
5. “ไมเคิ่ล คาร์ริค” กับโอกาสเพียง 32 เกม จากการรับใช้ “ทีมชาติอังกฤษ” 14 ปี
หากจะพูดถึง ยอดกองกลางของทีมชาติอังกฤษ ในช่วงยุค 2000 – 2010 ชื่อแรก ๆ ที่ขึ้นมาในความคิดของแฟนบอลคงไม่พ้นชื่อของ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่เป็นขาประจำของทีมชาติอังกฤษในยุคนั้น ส่งผลให้ ไมเคิ่ล คาร์ริค ไม่ได้รับโอกาสเท่าที่ควรเลย ในการลงช่วย ทีมชาติอังกฤษ
ในยุคสมัยนั้น กุนซือของทีมชาติอังกฤษที่เวียนกันเข้ามาทำทีมไม่ว่าจะเป็น สเวน โกรัน อีริคสัน, ฟาบิโอ คาเปลโล่, หรือ รอย ฮ็อดจ์สัน ต่างใช้ระบบ 4-4-2 และทุกคนมิอาจฝืนกระแสที่จะต้องจับทั้ง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด สองกองกลางดาวดังของทีมลงสนามเป็นกองกลางคู่กัน ซึ่งนั้นทำให้โอกาสในการลงไปช่วยสร้างสมดุลให้ทีมชาติของ ไมเคิ่ล คาร์ริค มีน้อยมาก ๆ
ครั้งหนึ่งตำนานกองกลางระดับแชมป์โลกอย่าง ชาบี อลอนโซ่ เคยกล่าวถึงความน่าเสียดายที่ ทีมชาติอังกฤษ ไม่ใช้งาน ไมเคิ่ล คาร์ริค เท่าที่ควรไว้ว่า “เขา (ไมเคิ่ล คาร์ริค) เก่งพอที่จะเล่นให้กับทีมชาติสเปน (ชุดแชมป์ยูโร 2008 และแชมป์โลก 2010) เขาคือผู้เล่นที่สำคัญมาก ๆ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และผมเชื่อว่าเขาสามารถทำในสิ่งเดียวกันนี้ได้ให้กับทีมชาติอังกฤษ แต่มันเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ๆ ที่โค้ชทีมชาติไม่เลือกใช้งานเขา”
ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมชาติอังกฤษ ได้เคยให้สัมภาษณ์ในปี 2018 ไว้ว่า “มันน่าเสียดายมาก ๆ ที่เขาได้รับเกียรติน้อยเกินไปในนามทีมชาติ เขาคือคนที่ทีมชาติอังกฤษต้องการเพื่อสร้างสมดุลให้แก่ทีมในยุคนั้น ซึ่งหากทุกวันนี้เขายังเล่นอยู่ แกเร็ธ เซาธ์เกต จะเรียกเขาติดทีมเป็นตัวเลือกแรกอย่างแน่นอน”
เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าเสียดายมาก ๆ ว่าหาก ไมเคิ่ล คาร์ริค ได้รับโอกาสลงสนามในนามทีมชาติมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่กับ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด, แฟรงค์ แลมพาร์ด, หรือเพื่อนร่วมสโมสรอย่าง พอล สโคลส์ จะสามารถทำให้ทีมชาติอังกฤษในยุคนั้นประสบความสำเร็จได้มากกว่านั้น ตามที่ควรจะเป็นหรือไม่

จารย์ต้น
แชร์เนื้อหา