5 แมทช์นัดชิงยูโรแห่งความทรงจำ | TunGame

5 แมทช์นัดชิงยูโรแห่งความทรงจำ

ในที่สุดศึกยูโร 2020 ก็เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศซึ่งถือเป็นดรีมแมทช์ที่แฟนบอลทั่วโลกต่างตั้งหน้าตั้งตารอชมโดยเป็นการปะทะกันระหว่าง ทีมชาติอังกฤษ กับ ทีมชาติอิตาลี 2 ทีมฟอร์มแรงประจำศึกยูโรในครั้งนี้ดังนั้น ทันเกม อยากนำแฟนเพจมาย้อนอดีตกับ 5 แมทช์นัดชิงในความทรงจำที่เกิดขึ้นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูโร ว่ามีนัดไหนบ้างที่ยังตราตรึงอยู่ในใจแฟนบอลทั่วโลกตลอดมา

1.นัดชิงยูโรปี1976: *เชโกสโลวาเกีย 2 เยอรมันตะวันตก 2 (*เชโกสโลวาเกียชนะจุดโทษ 5-3)

เริ่มต้นจากทัวร์นาเมนท์เมื่อ45 ปีที่แล้ว โดยในขณะนั้นการแข่งขันรอบสุดท้ายจะเริ่มต้นด้วยรอบรองชนะเลิศเลย ซึ่งทุกคนต่างคาดการณ์ว่าคู่ชิงชนะเลิศจะเป็นการรีแมทช์นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี1974 ระหว่าง 2ทีมมหาอำนาจในสมัยนั้นอย่างทีมชาติเนเธอร์แลนด์ กับ ทีมชาติเยอรมันตะวันตก

แต่สุดท้ายกลายเป็นทีมชาติเชโกสโลวาเกีย ที่หักปากกาเซียนและเข้าไปชิงดำกับทีมอินทรเหล็กแทน หลังจากพวกเขาสามารถคว่ำทีมอัศวินสีลมที่นำทัพโดยแข้งดังในขณะนั้นอย่างโยฮัน ครัฟฟ์ และ โยฮัน นีสเกนส์ ไปได้ 3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษพร้อมด้วยการมีผู้เล่นน้อยกว่า1 คนในสนาม

ส่วนในรอบชิงชนะเลิศที่กรุงเบลเกรดถึงแม้ ทีมชาติเชโกสโลวาเกีย จะถูก ทีมชาติเยอรมันตะวันตก ตามตีเสมอได้หลังจากออกนำไปก่อน2-0 แต่พวกเขาก็สามารถดวลจุดโทษเอาชนะทีมอินทรีเหล็กไปได้5-3ซึ่งลูกยิงจุดโทษลูกสุดท้ายของ อันโตนินปาเนนก้า ถือเป็นลูกยิงสุดคลาสสิกที่สุดลูกหนึ่งในเวทีโลกลูกหนังหลังจากที่เขาตัดสินใจชิพผ่านผู้รักษาประตูคนดังอย่าง เซ็ปป์ ไมเออร์ เข้าไปซึ่งหลังจากนั้นการยิงลูกโทษในลักษณะนี้ก็ได้ถูกเรียกว่าเป็นการยิงแบบ “ปาเนนก้า” จนถึงปัจจุบัน

2.นัดชิงยูโรปี1988: เนเธอร์แลนด์ 2 สหภาพโซเวียต 0

ศึกยูโร 1988 ถือเป็นทัวร์นาเมนท์ที่ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ กลับมาผงาดบนเวทีนานาชาติอีกครั้ง หลังจากในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษที่ 80 ถือเป็นยุคมืดของทีมอัศวินสีส้มอย่างแท้จริงเพราะไม่สามารถผ่านเข้ามาไปเล่นในรายการเมเจอร์ทั้งฟุตบอลโลกปี82 และปี 86รวมถึงยูโรปี 84 ได้เลย อย่างไรก็ตามด้วยขุมกำลังที่ถือว่ามีพรสวรรค์มากที่สุดยุคหนึ่งของประเทศก็ส่งผลให้พวกเขาคว้าแชมป์เมเจอร์รายการแรกได้ในที่สุด

โดยถึงแม้ขุนพลออรันเย่จะเปิดหัวด้วยการแพ้สหภาพโซเวียต ไป 0-1 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เอาชนะในทุกเกมส์ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นการถล่ม ทีมชาติอังกฤษ ด้วยแฮตทริกของ มาร์โก แวน บาสเท่น และเฉือน ทีมชาติไอร์แลนด์ ได้ในรอบแบ่งกลุ่ม รวมถึงการคว่ำ ทีมชาติเยอรมันตะวันตกเจ้าภาพและเต็งจ๋าของศึกยูโรครั้งนั้นด้วยการพลิกกลับมาชนะได้ 2-1 ในรอบรองชนะเลิศ

ท้ายที่สุดทีมชาติฮอลแลนด์ ก็ปิดฉากการเล่นทัวร์นาเมนท์ด้วยการล้างแค้น สหภาพโซเวียต ในนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จด้วยสกอร์2-0ซึ่งหนึ่งในโมเมนต์น่าจดจำที่สุดของประวัติศาสตร์ฟุตบอลได้เกิดขึ้นในแมทช์นี้โดยเป็นเหตุการณ์ที่ศูนย์หน้าพรายกระซิบอย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น คนเดิม วอลเล่ย์บอลจากมุมแคบย้อยเข้าประตูไปอย่างสวยงามและนั่นก็ส่งให้ขุนผลอัศวินสีส้มคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวนับแต่นั้น

3.นัดชิงยูโรปี1992: เดนมาร์ก 2 เยอรมัน 0

หนึ่งในเรื่องราวดั่งเทพนิยายที่เกิดขึ้นในโลกฟุตบอลหลังจาก ทีมชาติเดนมาร์ก ต้องเข้ามาแข่งขันศึกยูโร 1992 แทน ทีมชาติยูโกสลาเวีย ที่โดนตัดสิทธิ์ในการเล่นรอบสุดท้ายจากเหตุการณ์สงครามกลางเมืองซึ่งขุนพลโคนมสามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมจากทีมที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อในการเล่นรอบสุดท้ายมากลายเป็นทีมม้ามืดที่คว้าแชมป์ในทัวร์นาเมนท์ดังกล่าว

เริ่มต้นจากรอบแบ่งกลุ่มที่พวกเขาเก็บได้3 คะแนน (ในตอนนั้นชนะได้ 2 แต้ม)และเขี่ย 2 ทีมเต็งในกลุ่มอย่างทีมชาติฝรั่งเศส และ ทีมชาติอังกฤษ ตกรอบแรกไป ต่อมา ทีมชาติเดนมาร์กต้องมาเจอกับแชมป์เก่าอย่าง ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในรอบรองชนะเลิศซึ่งพวกเขาเสมอกับขุนพลอัศวินสีส้มไปได้แบบสุดมัน 2-2 และเกมส์ต้องไปตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่ง 5คนของเดนมาร์กยิงเข้าหมดในขณะที่เนเธอร์แลนด์ยิงพลาดไป1 คน โดยดันเป็น มาร์โกแวน บาสเท่น กองหน้าตัวเก่งที่ยิงไปติดเซฟของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูระดับตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในรอบชิงชนะเลิศพลพรรคโคนมต้องเจอทีมสุดแกร่งอย่าง ทีมชาติเยอรมัน ซึ่งทุกคนต่างคิดว่าทีมอินทรีเหล็กจะเอาชนะได้อย่างสบายๆอย่างไรก็ตามด้วยความเป็นทีมเวิร์คและทีมสปิริตที่ ทีมชาติเดนมาร์กสร้างขึ้นมาตลอดทั้งทัวร์นาเมนท์ก็ทำให้สร้างแมทช์นัดชิงที่น่าจดจำด้วยการพลิกล็อคเอาชนะเยอรมันไปได้2-0ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ยูโรได้อย่างยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมาย

4.นัดชิงยูโรปี2000: *ฝรั่งเศส 2 อิตาลี 1 (*ฝรั่งเศสขนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ)

ถือเป็นยุคทองของทีมชาติฝรั่งเศส อย่างแท้จริงหลังจากพลพรรคตราไก่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998ต่อเนื่องด้วยคว้าแชมป์ยูโร 2000ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นชาติแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปในฐานะแชมป์โลก

ถึงแม้จะถูกมองในฐานะตัวเต็งของการแข่งขันแต่เส้นทางพวกเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยนับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มหลังจากที่ต้องอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ รวมถึง ทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก ในยุ่งรุ่งเรือง ซึ่งพวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบมาได้ด้วยการเป็นอันดับ2 ของกลุ่ม นอกจากนี้ขุนพลเลส์ เบลอส์ ยังต้องผ่านด่านทั้ง ทีมชาติสเปน ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และต้องต่อสู้กับทีมฟอร์มแรงประจำทัวร์นาเมนท์อย่าง ทีมชาติโปรตุเกสในรอบรองชนะเลิศจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษกว่าจะเอาชนะไปได้

ในที่สุดทีมชาติฝรั่งเศส ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาจนถึงรอบชิงชนะเลิศโดยเป็นการพบกับทีมชาติอิตาลี ซึ่งแมทช์นี้ถือเป็นแมทช์สุดคลาสสิคอีกหนึ่งแมทช์ของศึกยูโรโดยขุนพลอัซซูรี่ออกนำไปก่อนจากประตูของ มาร์โค เดลเวคคิโอ ศูนย์หน้าจากโรม่า โดยเกมส์ทำท่าจะจบด้วยชัยชนะของ ทีมชาติอิตาลี แล้ว แต่ทีมตราไก่กลับมาต่อลมหายใจของตัวเองได้ในนาทีที่90+4จากลูกยิงของ ซิลแวง วิลตอร์และเมื่อเข้าถึงช่วงเวลาของการต่อเวลาพิเศษ ดาวิด เทรเซเก้ต์ กองหน้าตัวเก่งก็มายิงแซงเป็นประตูชัยให้ทีมชาติฝรั่งเศส เอาชนะ ทีมชาติอิตาลี และคว้าแชมป์ไปในที่สุด

5.นัดชิงยูโรปี2004: กรีซ 1 โปรตุเกส 0

อีก 1 เรื่องราวเทพนิยายเกิดขึ้นในศึกยูโร 2004 เวอร์ชันแดนฝอยทอง หลังจาก ทีมชาติกรีซ ที่ถูกคาดว่าจะเป็นไม้ประดับของการแข่งขันโผล่ขึ้นไปคว้าแชมป์ภายใต้การคุมทีมของกุนซือจอมเก๋าชาวเยอรมันอย่าง “คิง อ็อตโต้” อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล ที่มาพร้อมแทคติกชวนหลับแต่ทรงประสิทธิภาพ

โดยในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะเจ้าภาพอย่าง ทีมชาติโปรตุเกส และยันเสมอ ทีมชาติสเปน ไปได้ ซึ่งหลังจากจบรอบแรกทีมชาติกรีซ สามารถจบด้วยการเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มรวมถึงถีบขุนพลแดนกระทิงดุร่วงตกรอบแรก นอกจากนี้ในรอบน็อคเอ้าท์พวกเขายังทำผลงานชิ้นโบแดงด้วยการเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ทีมชาติฝรั่งเศสในรอบก่อนรองชนะเลิศ รวมถึง ทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก ไปได้ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 1-0 ทั้ง 2 นัด

ในนัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติกรีซ ต้องโคจรกลับมาเจอทีมชาติโปรตุเกส อีกครั้ง ซึ่งขุนพลจากประเทศในแถบทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียนสามารถช็อควงการฟุตบอลทั่วโลกได้ด้วยการเอาชนะทีมฝอยทองไปได้ด้วยสกอร์ยอดฮิตของพวกเขา1-0 คว้าแชมป์ยูโร 2004 ไปดุจดั่งเทพนิยายซึ่งถ้าว่ากันตามตรงกรีซถือเป็นแชมป์ที่น่าจะขี้เหร่ที่สุดจากสถิติทำเนียบแชมป์ยูโรทั้งหมดจากการเป็นแชมป์ที่ยิงและครองบอลได้น้อยที่สุดนอกจากนี้ประตูที่ยิงได้ในรอบน็อคเอ้าท์ทั้ง 3 ประตูเป็นประตูที่เกิดจากการโหม่งจากการครอสจากฝั่งขวาทั้งหมดอย่างไรก็ตามไม่ว่าสถิติจะเป็นอย่างไร แต่ค่ำคืน ณ กรุงลิสบอน ในวันนั้นก็คงเป็นภาพประวัติศาตร์ที่ยังคงตราตรึงใจแฟนบอลทั่วโลกไปอีกนาน

support

support

แชร์เนื้อหา