3 เหตุผลส่งโคนมคึกคะนอง ยูโร 2020 | TunGame

3 เหตุผลส่งโคนมคึกคะนอง

และแล้วฟุตบอล ยูโร2020 ก็เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศโดยทีมที่สร้างผลงานสุดเซอร์ไพรส์ผ่านเข้ามาถึงรอบตัดเชือกและถือเป็นทีมม้ามืดในศึกยูโรครั้งนี้อย่างเต็มตัวก็คงจะหนีไม่พ้นทีมชาติเดนมาร์ก ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง การที่พวกเขาต้องมาเจอเรื่องราวบั่นทอนจิตใจจากกรณีของคริสเตียน อีริคเซ่น ตั้งแต่ออกสตาร์ททัวร์นาเมนท์รวมถึงผลการแข่งขันที่ไม่เป็นใจใน2 นัดแรกก็เกือบทำให้ขุนพลโคนมต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแต่อะไรที่ทำให้ ทีมชาติเดนมาร์กพลิกกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและหลุดเข้ามาลุ้นสร้างตำนานภาคต่อเหมือนอย่างที่พวกเขาทำไว้ในยูโรปี1992 นั้น ทันเกมจะพามาหาคำตอบกัน

เกมส์รุกสด

เริ่มต้นจากเกมส์รุกที่ถึงแม้ทีมชาติเดนมาร์ก จะยิงได้แค่เพียง 1 ประตูจาก2 นัดแรก แต่ด้วยความยึดมั่นในแนวทางการเล่นที่เป็นบอลสไตล์บุกก็ส่งผลให้หลังจากนั้นพวกเขาสามารถทะลวงประตูใส่คู่แข่งเป็นว่าเล่นโดยเป็นการยิง4 ประตูใส่ทีมอย่างรัสเซีย และ เวลส์ รวมถึงอีก 2 ประตูใส่ทีมชาติสาธารณรัฐเช็กในค่ำคืนที่ผ่านมา

ดังนั้นด้วยฟอร์มเกมส์รุกที่จัดจ้านก็ทำให้ทีมโคนมเป็นทีมที่ยิงประตูในศึกยูโรครั้งนี้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ร่วมกับทีมชาติอิตาลี ด้วยจำนวน 11 ประตูและเป็นรอง ทีมชาติสเปน เพียง 1 ประตูซึ่งทั้งหมดนี้ต้องยกความดี ความชอบให้กับกุนซือของทีมอย่าง แคสเปอร์ ฮูลมานด์ที่นำอิทธิพลการเล่นในรูปแบบนี้มาจาก 2 กุนซือที่เขาชื่นชอบอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า รวมถึง โยฮัน ครัฟฟ์ มาปรับใช้กับ ทีมชาติเดนมาร์ก

เกมส์รับเก๋า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิ่งในเกมส์รับของทีมโคนมก็เป็นอีก1 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาผ่านเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศของศึกยูโรครั้งนี้โดยจุดเด่นคือ 4 ขุนพลหลักในเกมส์รับที่แคสเปอร์ ฮูลมานด์ เลือกใช้ถือว่ามีประสบการณ์ในการเล่นในลีกระดับท็อปของยุโรปทั้งสิ้นไล่ตั้งแต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, อันเดรียสคริสเตนเซ่น, ยานนิคเวสเตอร์การ์ด ที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ รวมถึง ปราการหลังกัปตันทีมตัวเก่งอย่างซิมง เคียร์ ที่เล่นอยู่ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี

ซึ่งปัจจัยที่ว่าส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของเกมส์รอบก่อนรองชนะเลิศที่ทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก พยายามกดดันพวกเขาเพื่อทำประตูตีเสมอแต่ด้วยความนิ่งของแผงหลังและผู้รักษาประตูก็สามารถทำให้ทีมโคนมผ่านบททดสอบสำคัญอีก1 ด่านมาได้ รวมถึงเป็นการพิสูจน์ว่าทีมชาติเดนมาร์ก ไม่ได้มีดีเพียงแค่เกมส์รุกเท่านั้น

นักเตะหน้าใหม่

ถึงแม้ทีมชาติเดนมาร์ก จะขาดสตาร์ตัวเก่งอย่าง คริสเตียน อีริคเซ่น ไปด้วยเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝันตั้งแต่เกมส์ในนัดแรกกับ ทีมชาติฟินแลนด์ แต่นักเตะที่ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในศึกยูโรครั้งนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเติมเต็มการขาดหายไปของเพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งวัย29 ปี ได้อย่างไร้รอยต่อ

เริ่มต้นจาก แคสเปอร์โดลเบิร์ก กองหน้าวัย 23 ปีที่เบียด ยุสซุฟ โพลเซ่น หลุดไปเป็นตัวสำรองด้วยการซัดไป 3 ประตู จากการเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ 2 นัด ซึ่งนั่นส่งผลให้ชื่อของกองหน้าจากสโมสร นีซกลับมาโด่งดังอีกครั้งเหมือนสมัยตอนเล่นอยู่กับอาแจ็กซ์ฯ

ต่อมาคือ โยอาคิมเมห์เล่ วิงแบ็คจากสโมสร อตาลันต้าที่เติมเกมส์รุกได้สะเด่าเหลือเกินให้กับ ทีมชาติเดนมาร์ก ชุดนี้ ซึ่งผลงาน 2ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ไซด์ก้อยสุดสวย ส่งผลให้มีข่าวลือว่าทั้งอาร์เซน่อล และ เชลซี ต้องการดึงตัวเขาไปร่วมทีมในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง

ท้ายที่สุดคือ มิคเคลดัมส์การ์ด ปีกจอมพริ้ววัย 21 ปีจากสโมสร ซามพ์โดเรีย ที่ทำผลงานในนามทีมชาติได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการมีส่วนร่วมกับประตูของทีมทั้งหมด7 ประตูจากการเล่นทั้งหมด 7 นัด นอกจากนี้ประตูที่ยิงใส่ทีมชาติรัสเซีย ของนักเตะที่มีชื่อเล่นว่า ดัมซินโญ่ นั้นก็ถือเป็น 1 ในประตูสุดสวยของทัวร์นาเม้นท์ยูโร 2020 อีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมทีมชาติเดนมาร์ก ถึงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและกลายมาเป็นทีมม้ามืดประจำศึกยูโร 2020 ซึ่งด่านสุดท้ายที่ขวางทางพลพรรคโคนมกับรองชิงชนะเลิศก็คือการที่ต้องต่อสู้กับทีมเต็ง1 อย่าง ทีมชาติอังกฤษในรอบรองชนะเลิศ ดังนั้นเราก็ต้องมาตามดูกันต่อว่าเทพนิยายเดนส์ในภาคนี้จะไปจบลง ณจุดๆ ไหน

support

support

แชร์เนื้อหา