3 ประเด็นหลังเกมส์ เรอัล มาดริด ปะทะ แมนเชสเตอร์ซิตี้ | TunGame
ถือเป็นเกมส์สุดดราม่าประจำรอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้หลังราชันชุดขาว รีล มาดริด โกงความตาย (อีกแล้ว) ด้วยการพลิกกลับมาแซงชนะเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิติ้ ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษและผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศที่กรุงปารีสกับคู่ต่อสู้เมื่อ 4 ปีที่แล้วอย่าง ลิเวอร์พูล ดังนั้น ทันเกม จะพามาไปเจาะ 3 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นหลังเกมส์นี้ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

คาริม เบนเซม่า … เดอะ แบก ของ เรอัล มาดริด และว่าที่แข้งบัลลงดอร์
เป็นอีกครั้งที่ในฤดูกาลนี้กองหน้าวัยเก๋าทีมชาติฝรั่งเศสแสดงความสุดยอดของตนเองให้แฟนบอลทั่วโลกเห็นเป็นประจักษ์เพราะถึงแม้ในเกมส์ที่ผ่านมาดาวเตะวัย 34 ปีจะเงียบเกือบตลอดทั้งเกมส์ แต่เพียงช่วงพริบตาเดียวเขาก็สามารพลิกเกมส์ให้กับทีมได้หลังเป็นคนแอสซิสต์ให้ โรดรีโก้ เข้าชาร์จทำประตูไล่ตีตื้นเรือใบสีฟ้าในนาทีที่ 90 และโชว์ความเยือกเย็นในการยิงจุดโทษตัดสินเกมส์ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าจากฟอร์มตลอดทั้งฤดูกาลรวมถึงผลงานในค่ำคืนวันพุธที่ผ่านมาจะทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่ต่างยกให้ คาริม เบนเซม่า เป็นตัวเต็งที่จะคว้ารางวัลบังลงดอร์ในปีนี้ไปจากผลงาน 43 ประตูกับอีก 14 แอสซิสต์จากการลงเล่น 43 นัด อีกทั้งยังทำสถิติยิงในรอบน็อคเอ้าท์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก มากที่สุดร่วมกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ด้วยจำนวน 10 ประตู นอกจากนี้ ถ้าอดีตแข้ง โอลิมปิก ลียง ยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ เขาก็จะขึ้นไปทาบสถิติของซุปเปอร์สตาร์ชาวโปรตุกีสที่ยิงใน ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ต่อ 1 ฤดูกาลมากที่สุดที่จำนวน 17 ประตูอีกด้วย
จุดด่างพร้อยของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
ยังเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไปสำหรับกุนซือสมองเพชรรายนี้เพราะเขายังไม่สามารถคว้าถ้วยใหญ่ของทวีปยุโรปได้เลยนับตั้งแต่ฤดูกาล 2010/2011 กับบาร์เซโลน่า ซึ่งในเกมส์ที่ผ่านมา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และขุนพลเรือใบสีฟ้าคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองเพราะในช่วง 15 นาทีสุดท้ายหลัง ริยาด มาห์เรซ พังประตูขึ้นนำ พวกเขามีหน้าที่แค่ไม่พลาดเสีย 2 ประตู ยิ่งไปกว่านั้น แมนเชสเตอร์ ซิติ้ มีโอกาสทองที่จะทำประตูที่ 2 เพิ่มเพื่อปิดกล่องจาก แจ็ค กรีลิช แต่ดันทำไม่ได้อีก ดังนั้นมันก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกทีมของ คาร์โล อันเชลอตติ กลับมาพลิกสถานการณ์ได้เหมือนในเกมส์กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ เชลซี
ในส่วนของสถิติส่วนตัวของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเหมือนกันเพราะนับตั้งผู้จัดการทีมวัย 51 ปีเข้ามาคุม บาเยิร์น มิวนิค และ แมนเชสเตอร์ ซิติ้ เขาพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เพียงครั้งเดียวซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในฤดูกาลที่ผ่านมานี่เอง นอกจากนี้ในฤดูกาล 2016/2017 และ 2019/2020 เป๊ปยังพาทีมเรือใบสีฟ้าพลิกล็อคพ่ายทีมอย่าง โมนาโก และ โอลิมปิก ลียง ในรอบน็อคเอ้าท์ซึ่งถ้าวัดกันด้วยศักยภาพ แมนเชสเตอร์ ซิติ้ ก็ควรจะผ่านไปได้อย่างสบายๆ
นัดชิงรีแมทช์จากปี 2018
สำหรับนัดชิงชนะเลิศที่กำลังมาถึงคงถูกใจ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รวมถึงเหล่า เดอะ ค็อป เพราะนี่ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้ล้างแค้น เรอัล มาดริด ที่ทำแสบไว้กับพวกเขาในรอบชิงชนะเลิศปี 2018 จากจังหวะที่อดีตแข้งราชันชุดขาวอย่าง เซร์คิโอ รามอส เหนี่ยว ซาลาห์ ล้มลงกับพื้นและทำให้ราชาชาวอียิปต์ถูกเปลี่ยนตัวจากการบาดเจ็บที่หัวไหล่ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลส่วนใหญ่คิดว่าทีมรักของตนต้องพ่ายแพ้ไปในวันนั้น
โดยถ้าวัดกันตามหน้าเสื่อ ถึงแม้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะดูดีกว่าทีมของ คาร์โล อันเชลอตติ อยู่นิดๆทั้งในแง่ของฟอร์มการเล่นและคุณภาพของนักเตะ อย่างไรก็ตามการที่ราชันชุดขาวผ่านยอดทีมในปัจจุบันทั้ง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิติ้ ได้แบบชนิดพลิกนรกทั้ง 3 รอบ ก็คงเป็นสิ่งการันตีถึงพลังแฝงของนักเตะ เรอัล มาดริด ชุดนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราต้องมารอดูกันว่า ลิเวอร์พูลจะสามารถคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 7 หรือ เรอัล มาดริด จะตอกย้ำความเป็นเจ้ายุโรปได้อีกครั้ง ทุกคนจะได้รู้คำตอบในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม นี้
สถานการณ์การเข้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปของทีมจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้า

ซาไก
แชร์เนื้อหา